เอเจนซี - แดนมังกรเตรียมจัดงานระลึกเหตุสังหารหมู่นานกิงระดับชาติครั้งปฐมฤกษ์เสาร์นี้ เพื่อเตือนญี่ปุ่นถึงความทรงจำเลวร้ายที่ยังติดแน่นในใจประชาชนจีน ขณะทั้งสองมหาอำนาจพยายามจับมือฟื้นฟูความสัมพันธ์อันย่ำแย่
สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงาน (11 ธ.ค.) ว่า สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน จะเดินทางไปร่วมงานวันรำลึกการสังหารหมู่นานกิง (Nanking Massacre) แห่งชาติ ซึ่งจะจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในวันเสาร์ (13 ธ.ค.) นี้ โดยนับเป็นความเคลื่อนไหวอันลึกซึ้งในช่วงเดียวกับที่จีนพยายามจับมือเป็นมิตรกับญี่ปุ่นคู่แค้นเก่า
แหล่งข่าวเผยว่า สีที่ได้พบปะพูดคุยกับนายกรัฐมนตรีชินโสะ อาเบะ ขณะประชุมเอเปกเมื่อเดือนพ.ย. จำเป็นต้องปกป้องรักษาเส้นคั้นกลางบางๆ ระหว่างการกระตุ้นเตือนญี่ปุ่นให้นึกถึงสิ่งที่เคยก่อไว้ กับการหลีกเลี่ยงอุปสรรค ที่อาจบั่นทอนความสัมพันธ์ครั้งใหม่หลังขุ่นเคืองกันมานาน
“จีนมีแนวโน้มต้องการผูกมิตรไมตรี แต่ก็ไม่หลงลืมอดีตที่ผ่านมา” นักการทูตรายหนึ่งในกรุงปักกิ่งกล่าว
ถัง จยาส่วน อดีตรัฐมนตรีจีนที่ปัจจุบันทำงานชี้นำคณะกรรมการด้านการพัฒนาความสัมพันธ์กับญี่ปุ่น ก็แสดงท่าทีแตกต่างจากเดิม ไม่ได้เปล่งถ้อยคำเชือดเฉือนอย่างที่เคย เมื่อพูดถึงวันครบรอบการสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง ปีที่ 70 ในปีหน้า
“วาระครบรอบ 70 ปี ถือเป็นโอกาสสำคัญสำหรับญี่ปุ่น ที่จะริเริ่มมองดูและคิดทบทวนปะวัติศาสตร์ใหม่อีกครั้ง เพื่อยกภูเขาแห่งภาระความรับผิดชอบออกจากอก ด้วยการกล้าเผชิญหน้าและไตร่ตรองสิ่งที่ได้กระทำลงไป นำไปสู่การสรรสร้างมิตรภาพที่แท้จริงกับประเทศเพื่อนบ้านในเอเชีย”
อย่างไรก็ดี มธุรสวาจาข้างต้นก็ไม่ได้จะชี้ว่าจีนลดความสลักสำคัญของเหตุการณ์ที่สร้างความบอบช้ำในจิตใจประชาชน โดยเห็นได้จากหลายวันที่ผ่านมารัฐบาลกลางทยอยเผยแพร่รายงานพิเศษเกี่ยวกับความโหดร้ายทารุณของเรื่องราวอย่างต่อเนื่อง
สำนักข่าวซินหวาของทางการจีน เปิดเผยเอกสารสำคัญที่ตัดตอนมาจากสมุดไดอารี่ของ เฉิง รุ่ยฟัง คุณครูชาวนานกิง ที่บันทึกรายละเอียดว่า ทหารญี่ปุ่นได้ “ฆ่าและข่มขืน” เหยื่อผู้หญิงโดยไม่แยแสอายุไว้อย่างไรบ้าง
ทั้งนี้ แดนมังกรอ้างว่ากองทัพญี่ปุ่นคร่าชีวิตพลเมืองนครหนันจิง (นานกิง) เมืองหลวงของจีนในเวลานั้นไปมากกว่า 3 แสนคน แต่ศาลอาชญกรสงครามฝ่ายสัมพันธมิตร (Allied tribunal) ระบุยอดผู้เสียชีวิตเพียง 142,000 คนเท่านั้น ส่วนนักการเมืองและนักวิชาการหัวอนุรักษ์ของญี่ปุ่นก็ปฏิเสธเสียงแข็งในข้อมูลทั้งหมด
ประเด็นทางประวัติศาสตร์ได้กลายเป็นเชื้อไฟยั่วยุให้ทั้งสองประเทศทะเลาะเบาะแว้งกันมายาวนาน โดยล่าสุดเมื่อเดือนมี.ค. ทางการญี่ปุ่นก็ยื่นคำร้องขอประท้วงจีนต่อกรณีประธานาธิบดีสีแสดงความเห็นเกี่ยวกับเหตุสังหารหมู่นานกิงปี 1937 ระหว่างเยือนประเทศเยอรมัน
สายสัมพันธ์จีน-ญี่ปุ่นยังถดถอยอย่างฉับพลันมากขึ้นในปีที่ผ่านมา หลังจากนายอาเบะเดินทางไปไหว้สักการะศาลเจ้ายาสุกุนิ อนุสรณ์สถานรำลึกทหารญี่ปุ่น ที่ชาติเอเชียอย่างจีนและเกาหลีถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความโหดร้ายป่าเถื่อน
นอกจากนั้น ยังมีปัญหาข้อพิพาทเหนือหมู่ “เกาะเตี้ยวอี๋ว์” ในภาษาจีน หรือ “เกาะเซ็งกะกุ” ในภาษาญี่ปุ่น ของน่านน้ำทะเลจีนตะวันออก เป็นอีกหนึ่งปมสร้างความขัดแย้งด้วย
แต่เนื่องจากความสนใจที่สอดคล้องกันของจีนและญี่ปุ่น ในด้านความร่วมมือและเป็นหุ้นส่วนใหญ่ทางเศรษฐกิจ ก็ทำให้มหาอำนาจทั้งสองยอมลดราวาศอกลงชั่วคราว บรรลุข้อตกลงการค้าและอื่นๆ หลายฉบับในเดือนที่แล้ว สร้างหนทางรื้อฟื้นความสัมพันธ์ให้กลับมาสดใสอีกครั้ง
นักการทูตแดนอาทิตย์อุทัยรายหนึ่งในเซี่ยงไฮ้ กล่าวว่า หลังจากสีและอาเบะได้พบหน้าหารือกัน ความสัมพันธ์ก็ดูก้าวหน้าพัฒนามากขึ้นตามไปด้วย โดยเฉพาะทางจีนที่จัดส่งบรรดาเจ้าหน้าที่ระดับอาวุโสมาร่วมการจัดงานต่างๆ ที่มีญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพบ่อยครั้งขึ้น
“สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นผลลัพธ์ของการประชุม … แต่อนาคตยังอีกยาวไกล อย่างไรเสียก็ต้องทำงานหนักอย่างใจเย็นต่อไปเรื่อยๆ”