ขณะที่จีนกลายเป็นมหาอำนาจเศรษฐกิจอันดับสองของโลก ทว่า อีกด้านหนึ่งคือด้านการเมืองและสังคมก็สร้างคำถามให้แก่กลุ่มนักเฝ้ามองจีน ทั้งปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ระหว่างกลุ่มคนรวยและคนจน คอรัปชั่น ความขัดแย้งระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนจำนวนมหาศาล ซึ่งนำไปสู่คำถามความเป็นสังคมนิยมแบบจีนของประชาชนจำนวนมาก ไปถึงความขัดแย้งระหว่างชนชาติในซินเจียงและทิเบต เป็นต้น ขณะที่บรรดาเพื่อนบ้านรอบตัวพากันหวาดระแวงจีนโดยเฉพาะศึกขัดแย้งเรื่องกรรมสิทธิ์เหนือดินแดนในทะเลจีนใต้ที่กำลังร้อนระอุ ด้านสหรัฐฯก็ได้ปรับนโยบายหวนคืนสู่แปซิฟิก ตลอดจนแรงกดดันจากประชาคมโลกต่อเรื่องสิทธิมนุษย์ชน
จีนที่เปรียบเสมือนพญามังกรต้องแบกปัญหาร้อยแปดประการดังตัวอย่างที่กล่าวมา มิผิดที่จะกล่าวว่าประเทศจีนกำลังอยู่บนทางแยกประวัติศาสตร์ กลุ่มการนำรุ่นที่ 5 ที่เพิ่งเข้ามากุมบังเหียนนำนาวารัฐจีนเมื่อกว่าสองปีที่ผ่านมา และจะเป็นผู้กุมชะตารัฐจีนอีกนานนับสิบปีตามธรรมเนียมการครองอำนาจสองสมัยของจีน
สี จิ้นผิง เลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน และประมุขแห่งรัฐ จะนำพาประเทศจีนฝ่าทางแยกประวัติศาสตร์ของประเทศได้อย่างราบรื่นไหมและอย่างไร ท่ามกลางแรงกดดันทั้งจากภายในและภายนอกประเทศเช่นนี้....กระทั่งมีกระแสเสียงออกมาประปรายว่า “ชั่วรุ่นของเราอาจได้เห็นประเทศจีนที่กลายเป็นประชาธิปไตย”
สี จิ้นผิง บนทางแยกประวัติศาสตร์ นำเสนอข้อมูลภูมิหลังชีวิตส่วนตัวของสี จิ้นผิง ผู้ถือกำเนิดในยุคหลังการปฏิวัติจีนใหม่ (1953) แตกต่างจากกลุ่มลูกท่านหลานเธอที่เขาสังกัดอยู่ด้วยอย่างไร การฝ่าฟันชีวิตช่วงสกุลสีตกอับยุคปฏิวัติวัฒนธรรม ตลอดจนความรู้สึกนึกคิดต่อปัญหาบ้านเมือง ฝีไม้ลายมือในการบริหาร
การนำเสนอเนื้อหาทั้งหมดนี้อยู่บนบริบทการเมืองจีนนับตั้งแต่รุ่นบิดาคือ นาย สี จ้งซวิน วีรบุรุษแห่งยุคสร้างชาติของพรรคคอมมิวนิสต์ซึ่งก่อตั้งในปี ค.ศ. 1921 กลุ่มผู้เล่นในเกมช่วงชิงจัดสรรอำนาจภายในพรรคฯและการต่อสู้ห้ำหั่นเพื่อความอยู่รอดในวิถีการเมืองจีน เงื่อนไขปัจจัยทั้งหลายทั้งปวงนี้ เป็นสิ่งที่หล่อหลอมสี จิ้นผิง ขณะเดียวกันก็เป็นแรงผลักดันให้ สี จิ้นผิง กลายเป็นม้ามืดกินตำแหน่งนายใหญ่พรรคฯและประมุขรัฐจีน
“ข้อมูลเหล่านี้สร้างความเข้าใจภาคการเมืองที่ส่งผลลงสู่สังคมจีน และอย่างไม่ลำเอียงถือฝ่ายนัก” และอาจเป็นฐานในการจับตามองว่า จีน “จะฝ่าฟันข้าศึก รุดหน้าไปอย่างไร”
สี จิ้นผิง บนทางแยกประวัติศาสตร์ แปลเรียบเรียงจาก 习近平 站在历史十路的中共新领导 ผู้เขียนคือ หยางจงเหม่ย 杨中美 ชาวไต้หวัน
ข้อมูลหนังสือ
ชื่อหนังสือ สี จิ้นผิง บนทางแยกประวัติศาสตร์
ผู้เขียน หยาง จงเหม่ย
ผู้แปล กนิษฐา ลีลามณี
สำนักพิมพ์ มติชน
พิมพ์ครั้งแรก มีนาคม 2557
ราคาปก 255 บาท
จำนวนหน้า 383 หน้า
หิ้งหนังสือเดือนนี้ ยังขอแถมความรู้เชิงวัฒนธรรม ที่สะท้อนความสัมพันธ์ไทย-จีน นั่นคือ “โพยก๊วน” จากจดหมายข่าวอาศรมสยาม-จีนวิทยา
“โพยก๊วน: มรดกทางวัฒนธรรมที่หลงเหลือในความทรงจำ”
ช่วงกลางถึงปลายราชวงศ์ชิง ชาวจีนจำนวนมากได้อพยพจากประเทศจีนมาทำงานในต่างแดน และเมื่อทำงานหาเงินได้ พวกเขาต้องส่งเงินกลับไปยังบ้านเกิดเพื่อจุนเจือครอบครัวที่อดอยากแร้นแค้น สมัยนั้นการโอนเงินข้ามประเทศเป็นเรื่องยากลำบาก ชาวจีนอพยพจึงฝากเงินและจดหมายไปให้ทางบ้านผ่านระบบที่เรียกว่า ‘โพยก๊วน’
โพยก๊วน เป็นระบบการส่งจดหมายพร้อมแนบเงินซึ่งทำกันเองในหมู่ประชาชน ส่วนมากเป็นพ่อค้าจีนที่เป็นเจ้าของธุรกิจนำเข้าส่งออกที่มีสาขาในต่างแดน พัฒนาการส่งจดหมายแนบเงินให้เป็นระบบและเปิดร้านโพยก๊วนควบคู่กันไปด้วย
โพยก๊วนนับเป็นมรดกที่มีคุณค่าทางวัฒนธรรมอย่างหนึ่ง ที่จะทำให้เราเห็นอิทธิพลของความเชื่อลัทธิขงจื่อที่หลอมรวมอยู่ในวัฒนธรรมจีน โดยเฉพาะเรื่องความสัมพันธ์ในครอบครัว และโพยก๊วนยังเป็นระบบติดต่อสื่อสารที่คอยเชื่อมความผูกพันระหว่างคนในครอบครัวที่ต้องพลัดพรากจากกันอีกด้วย
นอกจากนี้ยังมีคอลัมน์ ‘โพยก๊วนบนแผ่นดินสยาม’ เล่าถึงชีวิตความเป็นอยู่ของคนจีนในเมืองไทยสมัยก่อน และสภาพธุรกิจโพยก๊วนในประเทศไทยขณะนั้น รวมทั้งการจัดการของฝั่งรัฐบาลไทยที่เข้ามาดูแลและอำนวยความสะดวกแก่ธุรกิจโพยก๊วน
*** สามารถเข้าไปดาวน์โหลดจดหมายข่าวฟรี ได้ที่ http://www.อาศรมสยาม-จีนวิทยา.com/