เนื่องจากความเจ็บปวดทุกข์ทรมานจากเนื้องอกในสมอง ตี๋น้อยเสี่ยวเย่าอี้ วัย 11 ขวบจึงเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับอาชีพในฝัน อยากเป็นแพทย์ช่วยรักษาผู้คน ซึ่งก่อนหน้าตี๋น้อยเคยฝันอยากเป็นเถ้าแก่จะได้ร่ำรวย เลี้ยงดูแม่ แต่แล้ว...โชคชะตาก็ทำให้เสี่ยวเย่าอี้ไม่อาจบรรลุฝันเป็นแพทย์ จึงฝากแม่ให้ช่วยบริจาคอวัยวะและร่างกายเพื่อช่วยต่อชีวิตอื่น ในภาพ เมื่อเสร็จสิ้นการผ่าตัด แพทย์พยาบาลได้นำร่างที่ไร้วิญญาณของเสี่ยวเย่าอี้ออกมานอกห้อง พร้อมกับโค้งคารวะให้กับเสี่ยวเย่าอี้และแม่ ในชั่วขณะนี้เอง แม่ไม่อาจควบคุมสีหน้าได้อีก ปล่อยโฮ...ร้องไห้ออกมา (ภาพ เอเจนซี)
เอเจนซี-เด็กชาย เหลียง เย่าอี้ วัย 11 ขวบ เรียนชั้นประถมศึกษาในนครเซินเจิ้น เข้ารับการรักษาโรคเนื้องอกในสมองตั้งแต่เดือนเม.ย. และได้จากโลกนี้ไปเมื่อวันที่ 6 มิ.ย.ที่ผ่านมา
“แม่..แม่..บริจาคร่างผมไปเถอะนะ” คือคำขอสุดท้ายของเด็กชายวัย 11 ขวบ
เมื่อสองปีที่แล้ว เสี่ยวเย่าอี้ จากบ้านในเหลียนเจียงอำเภอจั้นเจียงของมณฑลก่วงตง มาเรียนหนังสือในนครเซินเจิ้น และมาพักอาศัยกับพี่ชาย เหลียง เพ่ยอี้ว์ และพี่สาว เหลียง หลี่จวิน ที่เข้ามาทำงานในเมือง พี่ทั้งสองแก่กว่าเสี่ยวเย่าอี้ เกือบ 10 ปี
ในวันที่ 12 เม.ย. เสี่ยวเย่าอี้ ก็เดินเซพยุงตัวไม่อยู่ พี่สาวตกใจมาก รีบพาไปตรวจที่โรงพยาบาล ผลการตรวจเด็กชายเป็นโรคเนื้องอกในสมอง พี่สาว-พี่ชายต่างงงงันสับสน เป็นไปได้อย่างไร?
เมื่อหลี่จวิน ผู้แม่ รู้ข่าว ก็มองโลกในแง่ดีว่า “วิทยาการสมัยใหม่ พัฒนาไปมาก โรคร้ายแรงต่างๆก็เอาอยู่” เธอเทเงินออม และหยิบยืมจากญาติเพื่อนฝูง เดินทางเข้าเมืองเซินเจิ้น
หมอบอกว่า ต้องผ่าตัด แม่ก็ว่า “ก็รีบทำเถอะ ผ่าตัดแล้วก็จะได้ดีขึ้นไวๆ”
วันที่ 16 เม.ย. เสี่ยวเย่าอี้ ผ่าตัดครั้งแรก ผลการผ่าตัดไม่ดีอย่างที่แม่คิด เนื้องอกกลับยิ่งลุกลาม
เสี่ยวเย่าอี้ผ่าตัดครั้งที่สองเมื่อวันที่ 8 พ.ค. หลี่จวินยิ่งวิตกกังวลใหญ่ แต่เสี่ยวเย่าอี้ที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้กลับมีกำลังใจดีมาก ผ่าตัดครั้งที่สองน้ำตายังไม่ร่วงเลย กัดฟันอดทน เมื่อเห็นแม่และพี่สาวทุกข์เศร้า ก็ปลอบแม่ ไม่ต้องกลุ้มใจ พี่สาวมาส่งข้าวปลาทุกวัน เสี่ยวเย่าอี้ก็ปรามพี่ว่าอย่าได้ลำบากเลย ข้าวก็กินไม่ลงอยู่แล้ว
“ผมอยากเป็นนักประดิษฐ์”
ตอนที่มาอยู่ที่เซินเจิ้นใหม่ๆ พี่ชายพาเสี่ยวเย่าอี้ไปเดินร้าน “เมืองหนังสือ” มีหนังสือมากมายละลานตาไปหมด พี่ชายซื้อหนังสือวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กให้เล่มหนึ่ง “100 นักคิดค้นและนักประดิษฐ์ที่ยิ่งใหญ่ของโลก” นี่เป็นหนังสืออ่านนอกชั้นเรียนเล่มแรกในชีวิตของเสี่ยวเย่าอี้ อาตี๋รักถนอมมาก แต่ด้วยเปิดอ่านหลายครั้งหลายหนจนหนังสือช้ำแลดูเก่าไปเลย
ในหนังสือเล่มโปรดของเสี่ยวเย่าอี้ มีทั้งเรื่องการประดิษฐ์จรวด เครื่องบิน ยานอวกาศ ตี๋น้อยสนใจดู-อ่านด้วยความตื่นเต้น และมักถือหนังสือไปหาพี่ชายพี่สาว ชี้ชวนให้ดู “พี่รู้ไหม? พี่รู้ไหม?” พี่ๆทั้งสองก็มองตี๋เล็กด้วยความชื่นชม พวกเขาเรียนมาน้อย จึงหวังว่าน้องชายจะได้เรียนสูงกว่ามีความรู้และเก่งด้านวิทยาศาสตร์ เสี่ยวเย่าอี้ได้อ่านเรื่องยานอวกาศและสนใจมาก ถึงกับบอกแม่ตอนนอนรักษาตัวว่า “ไว้เมื่อผมหายแล้ว ก็จะเป็นนักประดิษฐ์ ผมจะสร้างจรวด”
เมื่ออาการป่วยของอาตี๋ทรุดลงๆ จิตใจก็เริ่มตกลง “แม่ ผมน่าสงสารมากเลยนะ”
ความเจ็บปวดจากอาการเนื้องอกในสมองยิ่งเลวร้าย กระทั่งอาตี๋เปลี่ยนความคิดเรื่องอาชีพในฝัน ไม่คิดทำจรวดแล้ว อยากเป็นแพทย์เพื่อที่จะได้รักษาคนไข้ เด็กๆจะได้ไม่ต้องล้มป่วยเจ็บปวดกัน แม้เจ็บปวดทรมาน อาตี๋ยังระมัดระวังไม่ให้ผ้าปูที่นอนเปื้อน “แม่ ผมจะฉี่”
ช่วงสองเดือนที่รักษาตัว เสี่ยวเย่าอี้พูดคุยมากที่สุด อาตี๋รู้เรื่องมากทำเอาแพทย์และพยาบาลมองดูด้วยความสะท้อนใจ
“ความฝันที่ยิ่งใหญ่” “ผ่าตัดอวัยวะผมออกไปเถอะ” อาการป่วยของเสี่ยวเย่าอี้เข้าขั้นวิกฤต แม้แต่พูดก็ลำบากมาก ต้นเดือนมิ.ย.อาตี้รู้ตัวว่าไม่ไหวแล้ว จึงพยายามบอกแม่ว่า “แม่ เมื่อผมไม่มีชีวิตอยู่แล้ว ช่วยเอาอวัยวะผมออกไปนะ” ตอนแรกแม่ฟังไม่รู้เรื่อง ก็ถามลูกว่าพูดอะไร เสี่ยวเย่าอี้ ก็บอกว่า “เอาอวัยวะผมออกไปนะ” เรื่องการบริจาคอวัยวะนี้สำหรับผู้ใหญ่แล้วกลับเป็นเรื่องยากที่จะตัดสินใจ แต่เด็กน้อยวัย 11 ขวบ เอ่ยคำออกมาอย่างเด็ดเดี่ยว
ตอนแรก แม่ หลี่ จวิน ตกใจมาก นิ่งเงียบอยู่นาน แม้ไม่ได้เรียนมามาก แต่เธอก็เคยดูรายการบริจาคอวัยวะในรายการโทรทัศน์ และเธอก็เข้าใจสิ่งที่ลูกต้องการ
ด้านพี่สาว เหลียง หลี่จวิน ทีแรกก็ค้านหัวชนฝา เรื่องอะไรจะมาบริจาคร่างกายของน้อง อย่างน้อยๆก็ต้องทำพิธีฝังจะได้สู่ปรโลกอย่างสุคติ แต่เมื่อนึกถึงเรื่องราวในหนังสือต่างๆที่น้องชายชี้ชวนให้ดู ก็เข้าใจความตั้งใจของน้อง “สามารถดำรงอยู่ในอีกรูปแบบหนึ่ง”
เสี่ยว เย่าอี้บอกผู้คนที่มาเฝ้าที่ข้างเตียง ว่าเขาเห็นคนบนโลกนี้หลายๆคนทำสิ่งดีงามมากมาย “ผมว่าพวกเขายิ่งใหญ่มาก ผมก็อยากเป็นเด็กน้อยที่ยิ่งใหญ่”
แม่กลับมาบ้าน เก็บข้าวของของลูก ทั้งของเล่น หนังสือ กระเป๋าใส่หนังสือ กล่องใส่เครื่องเขียน สมุดการบ้าน .....ทำใจทิ้งไม่ลงสักชิ้นเดียว
วันที่ 5 มิ.ย. เหลียง เย่าอี้ ถูกส่งตัวไปยังโรงพยาบาลในสังกัดของมหาวิทยาลัยจงซัน วันที่ 6 มิ.ย. 11.45 น. แพทย์ผู้หนึ่งเปิดหน้าต่างบานเล็กของห้องไอซียู ร้องเรียก “ญาติของเหลียงเย่าอี้ อยู่ไหน?” หลี่ จวิน สะดุ้งตัวสั่นพักหนึ่ง ก็เดินเข้าไป นิ่งงันมองกระดาษที่แพทย์ส่งมาให้เซ็นชื่อ จากนั้นลงจรดปากกา...การรักษาจบสิ้นลงแล้ว…
16.35 น. วันเดียวกัน เสี่ยวเย่าอี้ก็จากไป
17.19 น. อวัยวะตับ ไตของเสี่ยวเย่าอี้ถูกบรรจุในกล่องน้ำแข็ง อวัยวะเหล่านี้สามารถช่วยชีวิตได้อีกมากกว่าหนึ่งภายใน 8 ชั่วโมง เสี่ยวเย่าอี้เป็นอาสาสมัครบริจาคอวัยวะรายที่ 142 ของนครเซินเจิ้น และเป็น “ครูใหญ่ที่ไร้คำพูด” ท่านที่ 158 ของโรงพยาบาลสังกัดมหาวิทยาเซินเจิ้น.