ดูเหมือนว่าภาพนักแข่งรถอาชีพที่ผ่านความโลดโผนบนหลังอานบิ๊กไบค์คันใหญ่ กับความเร็วของเข็มไมล์ที่ไม่ควรต่ำกว่า 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมงของ ทนง ลี้อิสสระนุกูล จะกลายเป็นอดีตที่ค่อยๆเลือนลางหายไป เหลือให้เห็นแต่ภาพของนักธุรกิจเจ้าของบริษัทผู้ผลิตอะไหล่รถยนต์ที่คิดไว ทำไว ออกแนวบ้าระห่ำแต่ยึดติดคุณธรรมคืนกำไรให้สังคม โดยทำทุกอย่างเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม รักษาสังคม และคนรอบข้างให้ได้รับสิ่งดีๆ รวมถึงการอาสาสภากาชาดไทยช่วยหา "อะไหล่มนุษย์" เพื่อนำมาเติมเต็มชีวิตผู้ป่วยที่รอคอยการต่อชีวิตใหม่
ในวันที่อุณหภูมิการเมืองร้อนแรงมีการปะทะกันถึงขั้นสูญเสียชีวิตและเลือดเนื้อสภากาชาดไทยต้องประกาศขอรับบริจาคโลหิตเพื่อช่วยเหลือผู้บาดเจ็บนั้น ทนง ลี้อิสสระนุกูล กรรมการผู้จัดการกลุ่มสิทธิผล เปิดโอกาสให้พูดคุยถึงเรื่องต่างๆในชีวิต รวมถึงโครงการอะไหล่มนุษย์ ที่เขากำลังขับเคลื่อนอย่างเป็นกันเอง
ทนง เป็นทายาทรุ่น 3 ของกลุ่มสิทธิผล เจ้าของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่มีบริษัทในเครือนับสิบบริษัท โดยวิทยา ลี้อิสสระนุกูล ผู้เป็นพ่อมอบหมายให้มารับผิดชอบธุรกิจของตระกูล ในช่วงแรกแม้จะดูขัดเขิน แต่ด้วยความเชื่อมั่นในตัวเองอันเป็นนิสัยติดตัวมาตั้งแต่เด็ก ทำให้เขาก็ฝ่าวิกฤตินั้นมาได้อย่างน่าชื่นชม โดยปีแรกที่เริ่มต้นทำงานจริงจัง เขาต้องเผชิญสถานการณ์เปลี่ยนแปลงค่าเงินบาท ทำให้เขาต้องควบคุมงานอย่างใกล้ชิด พร้อมปรับเปลี่ยนระบบบริหารภายในแบบ รวมถึงแหกคอกแตกไลน์ไปธุรกิจทำสตูดิโอทำงานโปรดักส์ชั่นอีกแขนง ท่ามกลางความกังวลของคนรอบข้าง
“ผมไม่ยึดติด อะไรที่ทำแล้วได้กำไรผมทำทันที ดูเหมือนซีเรียสที่ต้องทำอะไรที่ไม่ถนัดแต่จริงๆไม่เลย เพราะทุกอย่างมีเป้าหมายหมด อย่างตอนเด็กเราเรียนหนังสือ เป้าหมายคือเรียนหนังสือให้จบตามที่พ่อ-แม่ขอไว้ เราก็ต้องเรียนให้จบ โตขึ้นมาเล่นกีฬาเป้าหมายคือชัยชนะ ผมต้องทำให้ได้ อย่างแข่งรถพอได้แชมป์เซ้าท์อิสเอเซีย ผมก็เลิก มาตีกอล์ฟได้ถ้วยพระราชทานของในหลวง ผมพอใจแล้ว ผมเก็บไว้ใบเดียว ถ้วยรางวัลอื่นที่ได้มาไม่เก็บเลยผมจะเก็บแต่เพจที่เป็นชื่อเราไว้ส่วนถ้วยรางวัลที่เหลือก็เอาไปบริจาค เพราะเด็กที่บ้านเขาไม่รู้เขาไม่ได้มาภูมิใจกับเราหรอกครับ"
นอกจากไม่ยึดติดสิ่งใดแล้ว ทนงบอกว่าทุกวันนี้ก็ไม่สะสมอะไรอีกด้วย เพราะเขารู้ซึ้งว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่ยั่งยืน และมีวันหมดอายุ “สมัยเด็กผมเคยเป็นมนุษย์รองเท้าผ้าใบ สะสมไนกี้รุ่นแรก พอ5 ปีผ่านไป ร้องเท้าที่เก็บไว้แต่กลับใช้ไม่ได้ เพราะเราเก็บไม่เป็นเก็บไม่ถูก ถ้ารู้วิธีเก็บรักษาอาจยืดอายุไปได้ แต่เอาออกมาใช้มันก็อาจไม่ใช่แล้ว ตรงนั้นเป็นจุดเปลี่ยนแรกที่ทำให้ผมเรียนรู้ และต้องยอมรับกฎอันนี้”
แม้จะรับรู้ถึงความไม่จีรังของสิ่งรอบกลายครั้งนั้นแล้ว แต่นั่นไม่ได้ทำให้ทนงปล่อยวางชีวิตทั้งหมด เขายังคงทะเยอทะยานทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ และแล้วก็มาถึงจุดเปลี่ยนที่ทำให้เขายอมรับและเห็นความสำคัญของการสูญเสีย คือวันที่ “วิทยา” ผู้เป็นพ่อจากไป การสูญเสียพ่อไปอย่างกะทันหัน ทำให้เขามองเห็นสัจธรรมครั้งใหญ่
“พ่อไม่ควรตาย แต่ต้องตายเพราะพ่อล้มเส้นเลือดในสมองแตกตอนเวลาประมาณ 5 โมงเย็นเป็นช่วงเลิกงานรถติดมาก ถึงโรงพยาบาลหมอบอกว่าให้พวกเราทำใจ แม้รู้ว่าอาการพ่อหนักแต่ก็ต้องยื้อพ่อไว้ เพราะรู้ว่าถ้าพ่อเป็นอะไรตอนนั้น แม่ทำใจไม่ได้ พ่ออยู่ในห้องไอซียูประมาณเดือนกว่า หมดเงินไปประมาณ 10 ล้านบาท สุดท้ายพ่อก็จากพวกเราไป ตอนนั้นผมคิดนะว่าครอบครัวเราทำอะไหล่รถ เวลารถเสียหาซื้ออะไหล่เปลี่ยนได้ แต่พอพ่อเป็นอะไรไป "อะไหล่มนุษย์" หาซื้อไม่ได้ ”
ภาพพ่อนอนในห้องไอซียู ยังติดตาติดใจทนงอยู่พักใหญ่ จนมีอยู่วันหนึ่งเขามีโอกาสได้พบนพ.วิศิษฐ์ ฐิตวัฒน์ ผู้อำนวยการศูนย์รับบริจาคอวัยวะ สภากาชาดไทย และมีการพูดคุยกันทำให้รู้ว่าชิ้นส่วนร่างกายมนุษย์ที่ครบวาระต้องจากไป 1 ร่างสามาถช่วยคนได้ 50 ชิ้น
ทำให้เขาได้คิดว่าถ้าพ่อของเขาบริจาคอวัยวะก่อนหน้านี้ แม้ว่าสุดท้ายแล้วพ่อเขาต้องเสียชีวิต แต่หนึ่งชีวิตของพ่อจะสามารถช่วยเหลือชีวิตที่รอความหวังในการเปลี่ยนถ่ายอวัยวะได้ถึง 50 คนทีเดียว ถือเป็นการสร้างกุศลครั้งยิ่งใหญ่
ด้วยชีวิตที่ไม่ยึดติดอะไรอยู่แล้ว ในที่สุดทนงจึงตัดสินใจบริจาคอวัยวะให้สภากาชาดไทยทันที รวมทั้งขยายผลด้วยการตั้งโครงการ “อะไหล่มนุษย์” ใช้สโลแกน “อะไหล่รถสิทธิผลหาได้ แต่อะไหล่มนุษย์ต้องร่วมใจหา” ภายใต้กลุ่มสิทธิผล วีแคร์ รณรงค์ให้คนไทยได้มีความรู้ ความเข้าใจในเรื่องของการบริจาคอวัยวะที่ถูกต้อง
“ผมเองตอนนี้บริจาคหมดแล้ว ได้บัตรมาครบ ผมว่าเรื่องการบริจาคอวัยวะ ยังมีหลายคนไม่เข้าใจ บางคนยังยึดติดเชื่อว่าถ้าบริจาคไปแล้ว เกิดใหม่ชาติหน้าร่างกายจะไม่สมบูรณ์ อันนี้มันก็ยากที่เราจะไปเปลี่ยนความคิดเขานะครับ หากใครไม่เจ็บป่วยไม่เคยสูญเสีย จะไม่มีวันรู้ว่าสภาพจิตใจของญาติและผู้ป่วยที่รอคอยการต่อชีวิตใหม่อย่างแน่นอน”
ก่อนหน้าที่จะมาทำโครงการอะไหล่มนุษย์ ทนงชอบจัดกิจกรรมทำให้สังคมดี อาทิ โครงการกลุ่มสิทธิผล วีแคร์มอบจักรยานเพื่อครูไทย,โครงการเยาวชนสัมผัสชีวิตใต้ท้องทะเล,โครงการ Local Hero กลับคืนถิ่นเพื่อน้อง, โครงการล้อเลื่อนเพื่อนคนพิการ เป็นต้น
“ แต่อะไหล่มนุษย์เป็นโครงการที่ผมให้ความสำคัญมากเพราะถือว่าเป็นการให้ครั้งสุดท้ายของชีวิตคน ผมเดินสายเองเลย (หัวเราะ) ตอนทำใหม่ๆมีคอนเสิร์ตขนนก กับ ดอกไม้ โครงการ 2 ตอน “SECRET GARDEN” ของ เบิร์ด-ธงไชย แมคอินไตย ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี ผมก็ให้พนักงานติดต่อไปเลยขอออกบูธรับบริจาคอวัยวะในงานคอนเสิร์ตเลย เชื่อมั๊ยจบงานนั้นมีคนสนใจบริจาคอวัยวะ 37 คน ถือว่าเยอะนะครับ สัปดาห์ถัดมาผมหอบของที่ระลึกไปมอบให้คนที่บริจาคเลย”
ด้วยความกล้าบวกกับความบ้าบิ่นทำให้ชีวิตของของผู้ชายที่ชื่อ ทนง ลี้อิสระนุกูล แตกต่างจากวันที่เป็นหนุ่มนักซิ่งอย่างสิ้นเชิง ผู้ชายคนนี้มีเรื่องราวให้ชวนศึกษามากมาย หากแต่ด้วยเวลาที่จำกัด “ทนง” ยังฝากฝังถึงโครงการอะไหล่มนุษย์ไม่ขาดปาก ทั้งยังฝากข้อคิดถึงคนที่ยังมีความเชื่อเรื่องการบริจาคอวัยวะในแบบเก่าๆ ว่าไม่อยากให้กลัว หากทุกคนกล้าที่จะหลุดพ้นกรอบความคิดเก่าๆไปได้ เชื่อว่าประเทศไทยจะน่าอยู่มาก
สนใจที่จะร่วมบริจาคเพื่อสร้างกุศลสามารถติดต่อได้ที่ ศูนย์รับบริจาคอวัยวะ สภากาชาดไทย สายด่วน 1666 หรือ www.organdonate.in.th