เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ - ทางการกรุงปักกิ่งว่าจ้างกองทัพประชาชน 1 แสนชีวิต ทำหน้าที่สายลับ คอยสอดส่องการก่อการร้ายในเมืองหลวง ใครพบเบาะแส รีบแจ้งเร็วไว รับเงินรางวัลได้ในทันที
ตามรายงานของหนังสือพิมพ์ปักกิ่ง ยู้ท เดลี่ และปักกิ่ง นิวส์ เมื่อวันพฤหัสฯ ( 29 พ.ค.) สายลับหูตาสับปะรดอาจอยู่ในคราบของคนขายหนังสือพิมพ์ และช่างซ่อมรองเท้าข้างถนน หรืออาจเป็นผู้นำชุมชน และชาวบ้านทั่วไป
หากสังเกตเห็นพิรุธความไม่ชอบมาพากลใดก็ตาม อาสาสมัครเหล่านี้ จะแจ้งให้กระทรวงพิทักษ์สันติราษฎร์ทราบ โดยข้อมูล ที่ถูกต้องชิ้นหนึ่งจะได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินจำนวน 2 หยวน ส่วนใครที่สามารถสืบหาข้อมูลข่าวกรองได้มากถึงวันละ 3 ชิ้นก็จะได้รับเงินตอบแทนถึงเดือนละ 200 หยวน
แหล่งข่าวยืนยันว่า การขับเคลื่อนโครงการสายลับอาสาสมัครนี้เกิดขึ้น หลังจากการเสียชีวิตของตำรวจ 2 นายระหว่างปฏิบัติการกวาดล้างการก่อการร้ายในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์เมื่อวันพุธ ที่ผ่านมา และเป็นมาตรการต่อต้านการก่อการร้ายล่าสุดของกรุงปักกิ่ง หลังจากเกิดเหตุระเบิดโจมตีและเหตุไล่แทงประชาชนในมณฑลหยุนหนันและเขตปกครองซินเจียงอุยกูร์ทางภาคตะวันตกเมื่อเร็ว ๆ นี้
อาสาสมัครพลเมืองคอยทำหน้าที่ยามสอดส่องเหตุร้ายมิใช่เรื่องแปลกใหม่ในกรุงปักกิ่ง เนื่องจากกรุงปักกิ่งเคยมีอาสาสมัครมากถึง 850,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนอายุรุ่น 60-70 ปี ทำหน้าที่สายตรวจร่วมกับตำรวจมาแล้ว รวมทั้งเมื่อคราวที่จีนเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2008 หรือในคราวมีการประชุมสภาประชาชนประจำปีในเดือนมี.ค. ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม โครงการอาสาสมัครสายลับนี้ถูกวิจารณ์จากชาวเน็ตว่า พวกตนกำลังถูกจับตามอง มิใช่ได้รับการปกป้องคุ้มกัน เพราะมีสายลับอยู่เต็มเมืองไปหมด
ด้านนายเจ้า จู นักวิเคราะห์ด้านการทหารในนครเซี่ยงไฮ้ระบุในบล็อกของเขาว่า การระดมพลเมืองในกรุงปักกิ่งทำให้เขานึกถึงไปในสมัยเมื่อจีนดำเนินนโยบายพุ่งกระโดดล้ำหน้า (Great Leap Forward) เมื่อครึ่งศตวรรษก่อนโน้น และแสดงถึงความไม่รู้เกี่ยวกับทฤษฎีต่อต้านการก่อการร้ายสมัยใหม่ ตลอดจนแผนรับมือเหตุฉุกเฉินอย่างมีประสิทธิภาพ
นายเจ้าชี้ว่า วิธีระดมกำลังประชาชนเป็นสิ่งที่จีนทำมานานแล้ว ขณะที่นโยบายและยุทธศาสตร์ต่อต้านการก่อการร้ายในช่วงที่ผ่านมาได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ไร้ประสิทธิภาพ ซึ่งเห็นได้จากเหตุระเบิด ที่เพิ่งเกิดขึ้นหยก ๆ ดังนั้น จีนจึงควรหันมาพิจารณาทบทวนนโยบายทั้งหมด ที่ได้ทำมาและหาทางปรับปรุงแก้ไข จึงจะถูกต้องมากกว่าการใช้วิธีระดมสายลับตาสับปะรดเช่นนี้