สำหรับสาธารณรัฐประชาชนจีน แทบกล่าวได้ว่าไร้บทบาทของสตรีผู้เป็นภริยาของผู้นำระดับสูงสุดของประเทศมาเกือบครึ่งศตวรรษ จนกระทั่งเมื่อสองปีที่แล้ว เมื่อ สี จิ้นผิงขึ้นสู่อำนาจสูงสุดครองตำแหน่งเลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์และประธานาธิบดี ภาพลักษณ์สตรีหมายเลขหนึ่งแดนมังกร จึงได้ฉายฉานออกมาจากข่าวพาดหัวของสื่อทั้งในและต่างประเทศ นาง เผิง ลี่หยวน ได้ปรากฏกายเคียงข้างประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ออกเยือนต่างประเทศอย่างเป็นทางการและเป็นที่ฮือฮาอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์สาธารณรัฐประชาชนจีน ทั้งนี้ ภาพลักษณ์ของสตรีหมายเลขหนึ่งจีนปรากฏครั้งสุดท้ายเมื่อเกือบ 50 ปีที่แล้ว คือ นาง หวัง กวงเหม่ย ภริยาของ หลิว เส้าฉี ซึ่งครองตำแหน่งประธานาธิบดีระหว่างปี 2502-2509
นักเฝ้ามองจีนต่างจับตาบทบาทของสตรีหมายเลขหนึ่งแดนมังกรตั้งแต่มีกระแสข่าวฟันธงแล้วว่าสี จิ้นผิงจะนั่งเก้าอี้นายใหญ่พรรคฯ มีรายงานข่าวเจาะประวัติของเผิง ลี่หยวน อดีตนักร้องเพลงพื้นบ้านและเพลงปลุกใจความรักชาติประจำกองทัพปลดแอกประชาชนจีน และนักแสดงอุปรากรจีน ผู้โด่งดังและงามสง่า
บรรดานักวิเคราะห์มองว่าด้วยภูมิหลังนักแสดงมืออาชีพนี้เอง ทำให้การวางตัวบุคลิกท่วงท่าของเผิงทรงเสน่ห์ มีสไตล์ที่สง่างาม จนได้รับความนิยมจากประชาชนมากขึ้นระหว่างที่เธอออกงานต่างๆช่วงสองปีมานี้
ในสัปดาห์นี้ นายกรัฐมนตรี หลี่ เค่อเฉียง ก็ได้พาศรีภริยา นาง เฉิง หง เยือนประเทศต่างๆในทวีปแอฟริกาอย่างเป็นทางการ นับเป็นการแสดงบทบาทของภริยาผู้นำระดับสูงสุดจีนอีกคน หากนับ นาง เผิง ลี่หยวน เป็น “สตรีหมายเลขหนึ่ง” ในฐานะภริยาประมุขแห่งรัฐแล้ว ก็ขอนับ นาง เฉิง หง เป็น “สตรีหมายเลขสอง” ในฐานะภริยาหัวหน้าคณะรัฐบาลของประเทศ
เฉิง หง มิใช่คนดังในแบบฮือฮาอย่าง เผิง ลี่หยวน เธอได้รับการยกย่องอย่างสูงในฐานะนักวิชาการชั้นนำ ทำงานเงียบๆในสถาบันการศึกษา ศึกษาวิจัยและทำงานเขียนงานแปลเกี่ยวกับลัทธิธรรมชาตินิยม ซึ่งสอดคล้องกับบุคลิกรักสันโดษของเธอ
เฉิง หง เป็นอาจารย์ภาควิชาภาษอังกฤษ ประจำมหาวิทยาลัยเศรษฐกิจและธุรกิจแห่งนครหลวง (Capital University of Economics and Business) ซึ่งจัดเป็นสถาบันการศึกษาระดับสูงระดับแถวหน้าในกรุงปักกิ่ง
เพื่อนร่วมงานในมหาวิทยาลัยเดียวกับเฉิง ผู้หนึ่ง คือ อาจารย์ ถัว กัวจู เล่าว่า “เฉิง หง เป็นผู้หญิงที่จิตใจดีงาม อ่อนน้อมถ่อมตน ชอบอยู่เงียบๆ ไม่แสดงบทบาทใด ซึ่งเป็นสไตล์ที่แตกต่างจากเผิง ลี่หยวน
“เฉิงไม่เคยพูดถึงสามีในที่สาธารณะเลย พวกเราได้รู้ว่าสามีของเธอคือใครหลังปี 2008 ปีนั้น หลี่ขึ้นเป็นรองนายกฯ เฉิงไม่ได้มาที่มหาวิทยาลัยอยู่พักหนึ่ง ด้วยเหตุผลหลักด้านความปลอดภัย แต่เธอก็ยังให้คำปรึกษาแนะนำแก่นักศึกษาที่บ้าน ”
ดูเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับเหล่าญาติของบรรดาผู้นำระดับสูงสุด ที่จะมีฐานะมั่งคั่งกันมากขึ้น ผู้สื่อข่าวสื่อจีนได้สัมภาษณ์ผู้ที่รู้จักและใกล้ชิดกับเฉิง หง ต่างยืนยันว่าเฉิงเป็นนักวิชาการที่จริงจัง ไม่มีผลประโยชน์ทางธุรกิจใด
อาจารย์ท่านหนึ่งเล่าว่า ครั้งหนึ่งเฉิงได้รับการสนับสนุนจากเจ้าหน้าที่ในมหาวิทยาลัย ให้ขึ้นตำแหน่งอธิการบดีภาควิชา แต่เธอก็ปฏิเสธ “เฉิงเป็นนักวิชาการที่อุทิศตัว ทุ่มเทเวลาจดจ่ออยู่กับงานมากกว่า เธอปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างจริงใจและสุภาพให้เกียรติเสมอ” อาจารย์ในภาควิชาภาษาวรรณกรรมอังกฤษ กล่าว
ทางมหาวิทยาลัยได้ยกย่อง เฉิงเป็น “นักวิชาการที่โดดเด่น” ผู้หนึ่ง นอกจากนี้ ผู้จบฯจากภาควิชาภาษาอังกฤษ กล่าวอย่างชื่นชมว่าเฉิงเป็นอาจารย์วรรณกรรมอังกฤษที่เก่งมาก งานวิจัยของเธอส่งผลกระทบอย่างมาก
เฉิง หง นักวิชาการชั้นนำ ดื่มดำวรรณกรรมแนวธรรมชาติ
เฉิง หง ได้ผ่านประสบการณ์ชีวิตอันเข้มข้นแห่งยุคปฏิวัติวัฒนธรรมในช่วงวัยสาวรุ่น เธอรู้สึกพอกับชีวิตอันตื่นเต้นโลดโผน ในปี 1995 ก็ได้เดินทางไปเป็นอาจารย์แลกเปลี่ยน ที่มหาวิทยาลัยบราวน์ (Brown University) ใน โรดไอแลนด์ สหรัฐอเมริกา
เฉิงได้หันมาสนใจงานเขียนแนวธรรมชาติและนิเวศวิทยาระหว่างที่อยู่ในนิว อิงแลนด์ และได้เขียนงาน ออกมาเป็นหนังสือ ชื่อ Tranquillity Is Beyond Price ซึ่งได้รับการตีพิมพ์ในสิบปีต่อมา
หนังสือ Tranquillity Is Beyond Price หรือ “ความสงบ คุณค่าที่เหนือราคาใด” อธิบายพัฒนาการความคิด ความสนใจ สู่แนวธรรมชาติของเฉิง งานฯชิ้นนี้อาจช่วยอธิยายถึงได้ว่าทำไมเฉิงถึงไม่เป็นที่รู้จักในหมู่ประชาชนทั่วไป แม้กระทั่งเมื่อเทียบบรรดาภริยาที่ “โลว์ โปรไฟล์” ของชนชั้นนำจีนแล้ว เฉิงจัดเป็นผู้รักสันโดษ ผู้มักการปลีกวิเวก โดยแท้
อาจารย์จากภาควิชาภาษาอังกฤษ เล่าว่า “เฉิงได้กลับมายังมหาวิทยาลัยของเรา เจ้าหน้าที่ของเราแทบไม่มีใครได้ติดต่อพูดคุยกับเธอเลย ตอนที่สามีของเธอ เป็นผู้นำสูงสุดในมณฑลเหลียวหนิง เธอยังคงสอนภาษาอังกฤษ และวรรณกรรมอเมริกัน ให้แก่กลุ่มนักศึกษาระดับปริญญาโท และปริญญาเอก แต่เมื่อหลี่ได้เข้าเป็นคณะกรรมการกรมการเมืองฯหรือโปลิตปูโรแล้วนั่นเอง เฉิงจึงได้วางมือจากภาระงานสอน”
เฉิงได้รับการยอมรับเป็นนักวิชาการจีนชั้นนำที่ศึกษาแนวลัทธิธรรมชาติอเมริกัน มีผลงานหนังสือเกี่ยวกับหัวเรื่องดังกล่าวสองเล่มที่ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่แล้ว และผลงานแปลงานเขียนฉบับภาษาอังกฤษเป็นฉบับจีนอีกหลายเล่ม
“การศึกษาของเธอมีบทบาทสำคัญในการสร้างกระแสนิยมวรรณกรรมธรรมชาติในจีน” นักวิจารณ์วรรณกรรมในนครก่วงโจว กล่าว “ไม่มีภรรยาของผู้นำระดับสูงในจีนคนใด ที่มีทักษะภาษาอังกฤษ ทั้งการเขียนดีเช่นนี้ หนังสือของเฉิงงดงามมาก”
นักเขียนชาวอเมริกัน Terry Tempest Williams ยกย่องเฉิง ผู้แปลงานเขียนของเธอ คือ Refuge: An Unnatural History of Family and Place ว่า “เฉิงถ่ายทอดวิสัยทัศน์ของฉันในฉบับแปลของเธอ ได้อย่างสวยงามยิ่งใหญ่มาก Refuge เป็นงานสู่สันติภาพ เฉิงแปลงานชิ้นนี้อย่างระมัดระวังยิ่ง มีความลึกซึ้งและสัมผัสที่ไวทั้งสองภาษา เข้าถึงจิตวิญญาณของฉัน” วิลเลียม กล่าวชื่นชม
สำหรับงานเขียนของเฉิง Tranquillity Is Beyond Price เป็นเรื่องราวของนักปรัชญา และนักธรรมชาตินิยมแห่งศตวรรษที่ 19 คือ เฮนรี่ เดวิด ธอโร (Henry David Thoreau) เป็นงานเขียนที่อุทิศแด่ผลงานชิ้นเอกที่เลื่องลือของธอโร คือ “วอลเดน” (Walden) สะท้อนความสงบของวิถีชีวิตท่ามกลางธรรมชาติ ธอโรเขียน “วอลเดน”จากประสบการณ์ชีวิตระหว่างสองปีที่ไปใช้ชีวิตในกระท่อมที่เขาสร้างเองใกล้บึงวอลเดน ในชนบทของมลรัฐแมสซาซูเซ็ทท์ส
เฉิงเดินทางไปเยือนบึงวอลเดนสองครั้ง ครั้งแรกในปี 2000 ช่วงที่เธอใกล้จบปริญญาเอกที่ Chinese Academy of Social Sciences แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อพบว่าบรรยากาศที่บึงวอลเดนพลุกพล่านไปด้วยนักท่องเที่ยว แต่ในครั้งที่สองที่เธอไปเยือนฯช่วงฤดูใบไม้ร่วง เธอก็ได้กลับมาเขียนบันทึกว่า ....”เมื่อธรรมชาติดั้งเดิม และความสุขที่เรียบง่าย ปราศนาไป ดูเหมือนว่าจะยิ่งมีผู้คนคิดถึงธอโรมากขึ้นๆ ทุกคนต้องการที่จะเจริญรอยตามเขา ใช้ชีวิตในธรรมชาติ จิตใจที่อิสระ ร่างกายและจิตที่สมบูรณ์พร้อม”
อย่างไรก็ตาม เฉิงก็มิได้ถกเถียงถึงงานที่โด่งดังอีกชิ้นของธอโร คือ หนังสือรวมบทความเกี่ยวกับอารยะขัดขืน Civil Disobedience ปี 1849 :ซึ่งเป็นเนื้อหาการต่อต้านของปัจเจกชนต่อรัฐ เป็นการต่อต้านทางจริยธรรมต่อรัฐอธรรม
ล้อมกรอบ
เฉิง หง เกิดในปี ค.ศ. 1957 (2500) มีภูมิลำเนาเดิมที่เมืองเจิ้งโจว มณฑลเหอหนัน เติบโตสู่สาวรุ่นช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม ปี 1974 เข้าร่วมเป็นสมาชิกคอมมูน.ที่อำเภอจย๋า มณฑลเหอหนัน จากนั้น ก็กลับมาศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยชิงหวา ต่อมาได้รู่จักกับหลี่ เค่อเฉียง ซึ่งศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง และแต่งงานกันในปี 1983 มีบุตรสาวด้วยกันหนึ่งคน ซึ่งปัจจุบันอาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา
เฉิง หง สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก สาขาเอกวรรณกรรมแนวธรรมชาตินิยมอเมริกัน เฉิงได้รับการยกย่องเป็นผู้บุกเบิกการวิจัยเฉพาะด้านเกี่ยวกับวรรณกรรมแนวธรรมชาตินิยมของอเมริกัน ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา เฉิงได้แปลงานลัทธิธรรมชาตินิยมอเมริกันคลาสสิกชิ้นเอกหลายชิ้น อาทิ Wake-Robin และ The Outermost House นอกจากนี้ ยังได้ตีพิมพ์หนังสือ ชื่อ Return to the Wilderness งานชิ้นแรกที่แนะนำวรรณกรรมแนวธรรมชาตินิยมของอเมริกัน อย่างเป็นระบบ