เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ - คดีข่มขืนเด็กนักเรียนหญิงที่มณฑลเจียงซีเมื่อเร็วๆ นี้ ทำให้คนจีนทั้งประเทศตกตะลึง
เหตุการณ์ดังกล่าวบ่งชัดถึงอันตราย ที่ลูก ๆ จำนวนหลายล้านคนของแรงงานอพยพกำลังเผชิญ เมื่อพ่อแม่จำต้องทิ้งเลือดในอกไว้เบื้องหลัง เพื่อไปหางานทำในเมือง ด้วยหวังสร้างอนาคตที่ดีสำหรับครอบครัว
มีเด็กนักเรียนหญิงอย่างน้อย 8 คน ที่ถูกนายเถา เปี่ยวกง พ่อพิมพ์ของชาติ วัย 62 ปี ข่มขืนซ้ำซากมานานเกือบ 2 ปี โดยในจำนวนนี้ 6 คนเป็นลูก ที่พ่อแม่ได้ทิ้งให้อยู่ในความดูแลของปู่ย่าตายายมาตั้งแต่วัยทารก ส่วนเด็กนักเรียนหญิงคนที่ 7 ได้ย้ายโรงเรียนหนีไป หลังจากตำรวจไม่สนใจทำคดีของเด็ก และคนที่ 8 ครอบครัวของเด็กปฏิเสธให้สัมภาษณ์กับนักข่าว
เหยื่อตัวเล็ก ๆ ซึ่งควรมีชีวิตในวัยเยาว์ อันร่าเริงแจ่มใส ได้เล่าให้ผู้สื่อข่าวเซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ฟังว่า พวกแกถูกสั่งให้ยืนเข้าแถวหน้าห้องทำงานของครูโฉดในโรงเรียนชั้นประถมศึกษาในเมืองรุ่ยฉาง เพื่อรอข่มขืนทีละคน ทั้งที่นิ้วมือของเขายังคงเปื้อนช้อล์ก แต่เครื่องหมายแห่งความเป็นครูนั้นก็ไม่อาจข่มตัณหาหน้ามืดได้
หนูน้อยคนหนึ่งเปิดเผยว่า หลังจากนั้น แกรู้สึกเจ็บมาก หวาดกลัวและฝันร้ายอยู่เป็นประจำ
เด็ก ๆ บอกว่า มีอยู่เพียง 2 สิ่ง ที่พวกแกปรารถนามากที่สุดในเวลานี้ก็คืออยากเห็นหน้าแม่ และอยากให้ชายชั่ว ที่ทำให้พวกแกทุกข์ทรมาณ ถูกไล่ตะเพิดไปให้ไกล ๆ เพื่อที่จะได้ไม่มาทำร้ายใครได้อีก
การกระทำหยาบช้าของนายเถาส่งผลให้เด็กนักเรียนหญิงเหล่านี้ติดเชื้อฮิวแมน ปาปิลโลมาไวรัส ( Human papillomavirus) หรือ เชื้อไวรัสเอชพีวี ชนิดที่อาจพัฒนาไปสู่มะเร็งปากมดลูก หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง โดยเด็ก ๆ ติดเชื้อมานานอย่างน้อย 5 เดือนกว่าจะถูกตรวจพบ
ดร.หลิน ซิวอวิ้น รองศาสตราจารย์ด้านวิชาจิตวิทยาของมหาวิทยาลัยครูแห่งปักกิ่งระบุว่า เด็กที่ถูกพ่อแม่ทิ้งไปทำงานจะฟื้นฟูเยียวยาให้หายจากบาดแผลทางจิตใจจากการถูกข่มขืนได้ยากกว่าเด็กปกติทั่วไป โดยผลกระทบจากความบอบช้ำทางใจจะเลวร้ายยิ่งกว่า เพราะเด็ก ที่น่าสงสารเหล่านี้ มักไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่ และขาดความรักความอบอุ่นจากพ่อแม่ พวกเขาจะขาดความรู้สึก ที่มั่นคงปลอดภัย
จากสถิติของรัฐบาลกลางพบว่า ราว 61 ล้านคน หรือกว่า 1 ใน 5 ของประชากรเด็กบนแดนมังกรเป็นเด็ก ที่ถูกพ่อแม่ทิ้งไว้ข้างหลัง เด็กเหล่านี้เติบโตขึ้นมาท่ามกลางความรักความเอาใจใส่ ที่มีให้น้อยนิด จึงมีโอกาสตกเป็นเหยื่อถูกข่มขืนได้มากกว่าเด็กธรรมดาทั่วไป หรืออาจประสบเหตุจมน้ำตาย ถูกรถชน หรือเป็นเหยื่อของขบวนการค้ามนุษย์ได้ง่ายกว่าเช่นกัน
สื่อมวลชนจีนรายงานข่าวการข่มขืนเด็กหลายสิบรายมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เดือนพ.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งเกิดคดีอื้อฉาวครูใหญ่และเจ้าหน้าที่รัฐในท้องถิ่นของเมืองวั่นหนิง มณฑลไห่หนัน ถูกศาลตัดสินว่ามีความผิดฐานล่อลวงเด็กนักเรียนหญิงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ไปข่มขืนในโรงแรม
สถิติการข่มขืน ที่มีสูงบนแดนมังกร ดร. หลินชี้ว่า ส่วนหนึ่งมีสาเหตุมาจากวัฒนธรรมการอบรมสั่งสอนให้รู้จักความอับอายในสังคมชาวจีน จึงทำให้เรื่องชั่วช้าถูกเก็บงำไว้
“ พวกผู้ประสบเคราะห์กลับมักถูกเหยียดหยามมากกว่าจะได้รับความสงสารเห็นใจ และการยอมรับจากสังคม” เธอกล่าว พร้อมกับเสริมว่า ลูกของแรงงานอพยพเสี่ยงถูกข่มขืนมากที่สุด
เด็กนักเรียนโรงเรียนประถมศึกษาในเมืองรุ่ยฉาง ซึ่งมีอายุ 8-9 ปี ไม่เคยได้รับกล่องแฮปปี้ มีล (Happy Meal) ที่ร้านแม็คโดนัลด์ใส่ของเล่นน่ารัก ๆ ลงไปพร้อมกับอาหารในกล่อง เพื่อดึงดูดใจลูกค้ารุ่นจิ๋ว
เพียงได้กระโดดหนังยาง ซึ่งเป็นของเล่นราคาถูก แค่นี้ก็เบิกบานใจแล้ว
ทว่าผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า มีเพียงสิ่งเดียวที่ลูกแรงงานอพยพต้องการอย่างแท้จริง นั่นก็คือความรักความอบอุ่นจากอ้อมกอดของพ่อแม่
สมาพันธ์สตรีแห่งจีนทั้งมวล (All-China Women’s Federation) สำรวจพบว่า คดีข่มขืนหลายร้อยคดีเกิดขึ้นในโรงเรียน และร้อยละ 60 ของคดีเหล่านี้เกิดที่โรงเรียนระดับหมู่บ้าน
คดีข่มขืนเด็กนักเรียนหญิงที่มณฑลเจียงซีถูกเปิดโปง เมื่อพ่อแม่แรงงานอพยพของเหยื่อรายหนึ่งกลับมาเยี่ยมลูกในช่วงวันหยุดฤดูร้อน และลูกเล่าให้พ่อแม่ฟัง จึงได้ไปแจ้งความกับตำรวจเมื่อวันที่ 4 ก.ค. ครูบ้ากามถูกจับในข้อหาข่มขืนในวันต่อมา
จากนั้น รัฐบาลท้องถิ่นมีการเยียวยาด้วยการให้ค่ารักษาพยาบาลแก่เด็ก และให้เงินช่วยเหลือในการดำรงชีวิตแก่ครอบครัวของเด็กวันละ 100 หยวน
อย่างไรก็ตาม ทางรัฐยังได้มีการเจรจาต่อรอง โดยจ่ายเงินค่าทำขวัญ เพื่อขอให้ทางครอบครัวของเด็กยุติเรื่องแต่เพียงแค่นี้ ซึ่งทางครอบครัวเด็กจำยอมรับแต่โดยดี ทั้งที่ต้องการฟ้องร้องทั้งในทางอาญาและทางแพ่งกับผู้กระทำผิดและกับทางโรงเรียนก็ตาม
ทนายความหวัง อี้ว์ จากกรุงปักกิ่ง ซึ่งครอบครัวของเหยื่อว่าจ้าง ระบุว่า เป็นเรื่องธรรมดา ที่เจ้าหน้าที่ของรัฐในจีนจะซุกคดีข่มขืนบางส่วนไว้ใต้พรม โดยเฉพาะถ้าเด็ก ที่ถูกข่มขืนไม่สามารถเล่ารายละเอียดเหตุการณ์ได้อย่างชัดเจน
ในขณะที่ปู่ย่าตายายก็มักจะไม่แจ้งความ เพราะกลัวถูกเหยียดหยาม หรือเป็นการทำลายชื่อเสียงของเด็ก
“ฉันรู้สึกผิดและแย่มาก ๆ ที่อยู่ดูแลลูกที่บ้านไม่ได้” แม่วัย 32 ปีของเหยื่อรายหนึ่งระบายความในใจ
“ ผมอยากเก็บเงินให้มากกว่านี้ จะได้เอามาซื้ออพาร์ตเมนต์ในเมือง ลูกสาวจะได้ไปโรงเรียน ที่ดีกว่า” นายเหวิน ไท่สง พ่อวัย 30 ปีของเหยื่ออีกรายหนึ่งเปิดเผย
เขากับภรรยาไปทำงานที่โรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าในเมืองหังโจว มณฑลเจ้อเจียง
“ ผมจะทำยังไงได้ล่ะครับ ถ้าจะเอาลูกไปอยู่ด้วย ค่าใช้จ่ายที่นั่นก็แพงเกินกว่าจะมีปัญญาจ่าย ซึ่งเราจะไม่มีเงินเหลือเก็บเลย” เขาชี้แจงเหตุผล
เขากล่าวประโยคสุดท้าย ซึ่งทำให้รู้สึกว่าชีวิตนี้ช่างอับจนหนทางเสียจริง ๆ ว่า “ ที่เราต้องทิ้งลูกไว้กับบ้าน ก็เพราะเรานึกถึงอนาคตของครอบครัวน่ะเอง”