เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ - กลไกการโฆษณาชวนเชื่อของจีนเริ่มขับเคลื่อนรื้อทำลายกิตติศัพท์ชื่อเสียงของนายปั๋ว ซีไหล เมื่อใกล้เปิดการพิจารณาคดีความผิดของอดีตดาวรุ่งทางการเมืองคนสำคัญ ที่เคยเป็นถึงตัวเก็งนั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีแดนมังกรผู้นี้
พิพิธภัณฑ์ต้าเหลียนโมเดิร์น มูลค่า 24 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเคยจัดแสดงนิทรรศการผลงานความสำเร็จในการสร้างความเจริญก้าวหน้าของเมืองจากฝีมือของนายปั๋ว ที่เคยดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีได้เปลี่ยนรูปแบบมาจัดแสดงนิทรรศการ ที่หลากหลายหัวข้อแทนเมื่อไม่กี่เดือน ที่ผ่านมา อาทิ การจัดแสดงผลงานศิลปะแนวอเมริกัน การจัดแสดงกล้องยาเส้นและดวงตราไปรษณียากรสมัยศตวรรษ ที่ 20 การจัดแสดงโกลนสำหรับนักขี่ม้าของชาวมองโกเลียใน และอัญมณีเครื่องประดับ ซึ่งมีอายุเก่าแก่หนึ่งพันปี
สิ่งที่เกิดขึ้นกับพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นวิธีการของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในการลบร่องรอยต่าง ๆ ของนักการเมืองผู้อื้อฉาว ซึ่งกำลังจะถูกพิจารณาคดีในข้อหาทุจริตรับสินบน และคดีอื่น ๆ ในเดือนส.ค. 2556
มาเรีย เรปนิโคว่า นักวิจัยของมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด ซึ่งศึกษาด้านความสัมพันธ์ของสื่อมวลชนของรัฐในจีนมองว่า การเปลี่ยนแปลงรูปแบบนิทรรศการสะท้อนให้เห็นถึงความคิดในการกำจัดทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เป็นเรื่องราวและความสำเร็จของบุคคลผู้นี้ และเป็นวิธีการเดียวกับที่เคยใช้มาแล้วในเหตุการณ์อื่น ๆ ในอดีต
ปัจจุบัน มีชาวจีนมากมายแทบไม่ทราบเรื่องราวเกี่ยวกับเหตุการณ์ปราบปรามนองเลือดผู้เรียกร้องประชาธิปไตยที่จตุรัสเทียนอันเหมินในปีพ.ศ. 2532 ซึ่งไม่มีการกล่าวถึงในตำราเรียนในโรงเรียน หรือเหตุการณ์สะเทือนใจอื่น ๆ อีกนับไม่ถ้วน เช่นเหตุการณ์อาคารโรงเรียนหลายหลังพังถล่มในคราวแผ่นดินไหวเมื่อปีพ.ศ. 2551 ซึ่งสงสัยกันว่ามีสาเหตุจากการทุจริตคอร์รัปชั่นกินหินกินปูนในการก่อสร้าง เหตุการณ์นี้ถูกเซ็นเซอร์การเสนอข่าวอย่างเข้มงวด
ก่อนหน้าประสบมรสุมชีวิตทางการเมือง นายปั๋วเคยได้รับการยกย่องในฐานะผู้พัฒนาเมืองต้าเหลียนไปสู่ความเจริญก้าวหน้าในช่วง 20 ปีที่แล้ว จากนั้น ได้มาดำรงตำแหน่งหัวหน้ามณฑลเหลียวหนิง และรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ของจีนตามลำดับ
ในปีพ.ศ. 2550 นายปั๋วย้ายมาเป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์สาขานครฉงชิ่ง ซึ่งตั้งอยู่ในภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีน และสร้างความฮือฮาด้วยการฟื้นฟู “วัฒนธรรมแดง” สมัยประธานเหมา เจ๋อตง เช่น การเผยแพร่บทเพลงสมัยการปฏิวัติวัฒนธรรม และนโยบายประชานิยม ซึ่งเรียกกันว่า “ฉงชิ่งโมเดล” ในการพัฒนา
อย่างไรก็ตาม อุดมการณ์ซ้ายนิยมของเขาเป็นการต่อต้านผู้นำบางคนภายในพรรคคอมมิวนิสต์ เส้นทางชีวิตของนายปั๋วมาถึงจุดตกอับ เมื่อคนสนิท ซึ่งเคยเป็นผู้บัญชาการตำรวจนครฉงชิ่งหนีเข้าไปขอลี้ภัยในสถานกงสุลของสหรัฐฯ เมื่อเดือนก.พ. ปีพ.ศ. 2555 พร้อมกับหลักฐานว่า ภรรยาของนายปั๋วสังหารหุ้นส่วนธุรกิตฃจชาวอังกฤษ จากนั้น คดีอื้อฉาวก็ถูกเปิดโปง และถูกสืบสาวต่อไปอีกหลายคดี
ในเดือนก.ย. ปีพ.ศ. 2555 นายปั๋วถูกขับออกจากพรรคคอมมิวนิสต์และถูกตั้งข้อหาละเมิดวินัยของพรรค ซึ่งเป็นข้อหาที่กว้างมาก สื่อมวลชนของรัฐได้พันธนาการเขาด้วยโซ่ตรวนในทันทีว่า บ่อนทำลายภาพลักษณ์ของจีนอย่างเลวร้าย
จากนั้น อีก 2 เดือนต่อมา ผู้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์สาขานครฉงชิ่งคนใหม่แทนเขาได้ออกมากล่าวว่า ไม่มี “ฉงชิ่งโมเดล” อยู่ที่นี่
นายปั๋วไม่ปรากฏตัวต่อสาธารณชนมาตั้งแต่เดือนมี.ค ปีพ.ศ. 2555 และเขาไม่มีโอกาสชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาใด ๆทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตาม ยังมีชาวบ้านอยู่อีกไม่น้อย ที่ยังคงรำลึกถึงนายปั๋วอย่างรักใคร่ชอบพอ เพราะความเจริญก้าวหน้า ที่เขาสร้างให้กับนครฉงชิ่ง บางคนเห็นว่า นับจากอดีตจนถึงปัจจุบัน จีนมีเจ้าหน้าที่ใจซื่อมือสะอาดน้อยมากจนนับตัวได้ ทุกคนมีทั้งข้อดีข้อเสีย ฉะนั้น จึงควรดูว่า เขามีข้อดีหรือข้อเสียมากกว่ากัน
“ ถ้าทำผิดก็คือทำผิด แต่คุณก็ยังไม่อาจลืมคุณความดี ที่เขาเคยสร้างไว้ในอดีตได้” ชายวัย 58 ปีผู้หนึ่งระบุ
“คุณจะมาลบทิ้งด้านที่ดีของเขานั้นไม่ได้หรอก” เขาให้ความเห็น