เอเยนซี - แม้ว่าศึกขัดแย้งระหว่างชนชาติมุสลิมอุยกูร์และชาวจีนฮั่น จะผ่านพ้นมากว่า 4 ปีแล้ว ทว่า ความขุ่นข้องหมองใจของประชาชนในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์แห่งนี้ ยังคงไม่จางหายไป ดังจะเห็นได้จากเหตุวุ่นวายสองครั้งซ้อนที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงปลายเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงก่อนวันครบรอบสี่ปีจลาจลครั้งประวัติการณ์ ขณะนี้ทางการจีนได้ระดมมาตรการเต็มสูบเพื่อป้องกันเหตุร้ายที่อาจเกิดขึ้น
ทั้งนี้ จลาจลระหว่างชนชาติมุสลิมอุยกูร์กับชาวจีนฮั่นเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 5 ก.ค. ปี 2552 มีผู้เสียชีวิตราว 200 คน และบาดเจ็บอีกนับพันคน
รายงานข่าวกล่าวว่า พื้นที่ทั่วทั้งเมืองอูลู่มู่ฉี เมืองเอกของเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ตั้งอยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของจีน รอบล้อมไปด้วยกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ คอยสอดส่องดูแลความสงบเรียบร้อยอยู่ตามจุดต่างๆ ดังเช่น ณ จัตุรัสประชาชน ศูนย์กลางเมืองอูลู่มูฉีแห่งนี้ ที่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ 7-8 นาย เดินตรวจตรามาตั้งแต่เมื่อวันวานนี้ รวมถึงสถานที่อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นศูนย์การค้า ป้ายหยุดรถโดยสารประจำทาง หรือริมถนนสายต่างๆ ของเมือง
โกลบอล ไทมส์ สื่อในเครือพีเพิล เดลี่ ซึ่งเป็นกระบอกเสียงพรรคคอมมิวนิสต์จีน ระบุว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจจะสวมหมวกนิรภัย พร้อมด้วยอาวุธปืน และเกราะป้องกัน เดินลาดตระเวนทั่วทั้งเมืองตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งนับเป็นมาตรการรักษาความปลอดภัยระดับสูงสุดมาตั้งแต่เหตุจลาจลเมื่อปี 2552
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ทางการจีนผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นชาวอุยกูร์ เผยว่า ตลอดทั้งเดือนนี้ เขาต้องเดินไปตามบ้านหลังต่างๆ ที่เป็นเพื่อนบ้านชาวอุยกูร์ด้วยกัน เยี่ยมเยียน พูดคุยกับผู้คนเหล่านี้ เพื่อทำให้แน่ใจว่าจะไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ที่อาจเป็นภัยต่อความมั่นคง
“คนงานต่างถิ่นและผู้อาศัยชั่วคราวทุกคน ต้องติดต่อขอใบอนุญาตพำนักอาศัย ประทับลายนิ้วมือ ส่งตัวอย่างเลือด และรูปถ่ายที่สถานีตำรวจในเมือง ทั้งนี้ ก็เพื่อความปลอดภัยของประชาชนทุกคน และหากเกิดเหตุร้ายใดๆ ขึ้น เจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะสามารถติดตามตัวได้ง่าย” เจ้าหน้าที่กล่าวกับเซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ สื่อจีนอีกแห่งหนึ่งที่ได้ลงสำรวจพื้นที่
อย่างไรก็ดี ชายชาวอุยกูร์ เจ้าของร้านขายของชำแห่งหนึ่ง บนถนนซินหวาใต้ ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่า หลังจากเหตุจลาจลเมื่อปี 2552 กิจการของเขาได้รับผลกระทบอย่างมากเป็นเวลาหลายเดือน เนื่องจากที่ตั้งของร้านค้าอยู่บนถนนสายหลักของเหตุจลาจลครั้งนั้น
“หากผู้ชายอุยกูร์ไว้หนวดเครา หรือผู้หญิงอุยกูร์โพกผ้าบนศีรษะศีรษะ สวมผ้าคลุมหน้า หรือเสื้อคลุมตัวยาว ก็อาจถูกตีตราว่าเกี่ยวข้องกับกลุ่มลัทธิก่อการร้ายได้”
“พวกเรารู้สึกหดหู่ใจอย่างมาก ทุกวันนี้ การใช้ชีวิตก็ดำเนินไปอย่างลำบาก” เจ้าของร้านชำชาวอุยกูร์ กล่าวปิดท้าย
นอกจากนี้ ช่วงปลายเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา ก็เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบขึ้นสองครั้งซ้อน โดยครั้งแรกเมื่อวันพุธ (26 มิ.ย.) เกิดเหตุจลาจลในเมืองลุกชุน นอกเมืองเทอร์ปัน จนมีผู้เสียชีวิตกว่า 35 ราย และครั้งที่สองเมื่อวันศุกร์ (28 มิ.ย.) เกิดเหตุกลุ่มคนร้ายติดอาวุธเข้าโจมตีประชาชนบนถนนสายหนึ่งในเมืองโฮทัน ทว่า ไม่รายงานผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บ ซึ่งทำให้เหล่าผู้นำจีนเร่งหามาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาอย่างทันท่วงที
ทั้งนี้ เขตปกครองตัวเองชนชาติอุยกูร์มณฑลซินเกียง มีชาวอุยกูร์มากกว่า 8 ล้านคน พูดภาษาเตอร์กิค (Turkic) อุยกูร์เคยประกาศรัฐ “เตอร์กิสถาน ตะวันออก” ในปี ค.ศ.1930 และ 1949 แต่ในที่สุด ผู้นำคอมมิวนิสต์ก็ได้ประกาศผนวกดินแดนเป็นเขตปกครองตัวเองแห่งหนึ่งของแผ่นดินใหญ่ ชาวอุยกูร์ไม่พอใจการปกครองของจีน กองกำลังความมั่นคงพยายามครอบงำดินแดนที่อุดมด้วยน้ำมันในซินเจียง โดยส่งเสริมชาวฮั่นเข้ามาทำกินในซินเจียง จนมีชาวฮั่นเพิ่มจำนวนขึ้นหลายเท่าตัว เมื่อเกิดเหตุวุ่นวายจากการประท้วงของอุยกูร์จีนก็ยิ่งระดมกองกำลังความมั่นคงเข้ามายังซินเจียง อีกทั้งยังจำกัดการปฏิบัติพิธีทางศาสนาของกลุ่มมุสลิมอุยกูร์
ฝ่ายจีนกล่าวหาว่ากลุ่มเคลื่อนไหวแบ่งแยกดินแดนในซินเจียง กำลังเคลื่อนไหวอิสรภาพ “เตอร์กีสถาน ตะวันออก” อันเป็นมาตุภูมิของมุสลิมอุยกูร์ โดยมีหัวหอกคือกลุ่มอิสลามเตอร์กีสถานตะวันออก หรือ ETIM ซึ่งทั้งจีน สหรัฐฯ และสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ขึ้นบัญชีดำ ETIM เป็นลัทธิก่อการร้าย จีนยังชี้ว่า ETIM กลุ่มนี้ยังมีความเชื่อมโยงกับลัทธิก่อการร้ายอัลกออิดะห์ จึงต้องปราบปรามอย่างเด็ดขาด
คลิกอ่าน: ศึกขัดแย้งในเขตปกคครองตัวเองอุยกูร์มณฑลซินเจียง