รอยเตอร์ - โฉมหน้ารัฐบาลแดนมังกรชุดใหม่ภายใต้การนำของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง และนายกรัฐมนตรีหลี่ เค่อเฉียง ส่งสัญญาณให้ความสำคัญสูงสุดในการคลี่คลายความสัมพันธ์ ที่ตึงเครียดกับสหรัฐฯ ญี่ปุ่นและเกาหลีเหนือ ขณะเดียวกันก็นำมือเก๋าด้านการเงินและเศรษฐกิจ สานต่อนโยบายเปิดเสรี เพื่อให้เศรษฐกิจจีนเติบโตอย่างยั่งยืน
จีนมีการแต่งตั้งนักการทูตระดับหัวกะทิ 2 คนดำรงตำแหน่งสำคัญด้านการต่างประเทศ และแต่งตั้งรัฐมนตรีกลาโหมคนใหม่ในการประชุมประจำปีสภาประชาชนแห่งชาติของจีน ซึ่งปิดฉากเมื่อวันอาทิตย์ ( 17 มี.ค.) ได้แก่นายหยัง เจี๋ยฉือ วัย 62 ปี อดีตเอกอัครราชทูตจีนประจำกรุงวอชิงตัน ระหว่างปี 2544-2548 และเพิ่งพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นมุขมนตรี (state councillor) ผู้รับผิดชอบด้านนโยบายต่างประเทศ และเป็นตำแหน่งสูงกว่ารัฐมนตรีต่างประเทศ ซึ่งผู้มาดำรงตำแหน่งคนใหม่ได้แก่ นายหวัง อี้ วัย 59 ปี อดีตเอกอัครราชทูตจีนประจำญี่ปุ่น ระหว่างปี 2547-2550 และครั้งหนึ่งเคยเป็นแนวหน้าในการติดต่อสัมพันธ์กับเกาหลีเหนือ
สำหรับตำแหน่งเจ้ากระทรวงกลาโหมคนใหม่ได้แก่นายฉัง วั่นเฉียน ซึ่งเคยดูแลโครงการอวกาศของจีน เขาเป็นคนนอบน้อมถ่อมตน และที่ผ่านมาได้ทุ่มเทการทำงาน เพื่อปรับปรุงกองทัพพญามังกรไปสู่ความทันสมัย ซึ่งสั่นประสาทชาติในภูมิภาคเดียวกันไม่น้อย ฉะนั้น จึงไม่น่าแปลกใจ ที่นายฉังจะเป็นตัวเก็ง แม้ปัจจุบัน เขานั่งอยู่ในคณะกรรมาธิการกลางการทหาร อันทรงอำนาจ ซึ่งมีประธานาธิบดีสีเป็นประธาน แต่มิได้เป็นหนึ่งในรองประธานคณะกรรมาธิการก็ตาม
อย่างไรก็ดี รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมของจีนเป็นตำแหน่งหน้าตากองทัพจีน เนื่องจากนโยบายกลาโหมและการต่างประเทศถูกกำหนด โดยคณะกรรมการประจำของกรมการเมืองพรรคคอมมิวนิสต์จีน 7 คน ซึ่งเป็นคณะผู้ควบคุมนโยบายและทรงอำนาจสูงสุดบนแดนมังกรมากกว่ารัฐมนตรี
กระนั้นก็ตาม บุคคลทั้ง 3 ยังต้องเผชิญภารกิจ ที่ท้าทายในภาวะที่ จีนกำลังวิตกกังวลเกี่ยวกับยุทธศาสตร์การเป็นแกนหลักของสหรัฐฯในเอเชีย เพื่อสกัดการผงาดอำนาจของจีน นอกจากนั้น ชาติทั้งสองยังเห็นขัดแย้งกันในหลายประเด็น ตั้งแต่ประเด็นสิทธิมนุษยชนไปจนถึงประเด็นการค้า
ขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับญี่ปุ่น ซึ่งเป็นชาติเศรษฐกิจขนาดใหญ่อันดับ 2 และ 3 ของโลก เสื่อมทรามอย่างหนักในปีที่แล้ว เนื่องจากข้อพิพาทการอ้างกรรมสิทธิ์ครอบครองหมู่เกาะนในทะเลจีนตะวันออก อย่างไรก็ตาม ทั้งคู่ยอมรับว่า ความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจและการลงทุนเป็นเรื่องใหญ่ จึงพยายามปรับความสัมพันธ์กลับสู่ระดับปกติ ซึ่งรัฐมนตรีต่างประเทศหวัง ผู้พูดภาษาญี่ปุ่นได้ จึงน่าจะมีส่วนช่วยได้มากทีเดียว
นายหวัง ซึ่งเป็นผู้มีมารยาทดี ยังได้รับเสียงปรบมือ จากผลงานการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับไต้หวัน ขณะเป็นรัฐมนตรีกระทรวงกิจการไต้หวัน ทำให้มีการลงนามข้อตกลงด้านเศรษฐกิจร่วมกันหลายฉบับ นับตั้งแต่ปี 2551 เป็นต้นมา
นอกจากนั้น เขายังได้รับมอบหมายเป็นตัวแทนของจีนเข้าร่วมการเจรจา 6 ฝ่าย เพื่อโน้มน้าวให้เกาหลีเหนือยุติโครงการอาวุธนิวเคลียร์ ในช่วงปี 2550-2551 โดยปัญหานิวเคลียร์เกาหลีเหนือ ซึ่งเป็นพันธมิตรกับจีน กำลังร้อนระอุ หลังจากเกาหลีเหนือทดสอบอาวุธนิวเคลียร์เป็นครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 12 ก.พ. ที่ผ่านมา
สำหรับทีมเศรษฐกิจในรัฐบาลชุดใหม่ของจีนนั้น นายโจว เสี่ยวชวนได้รับความไว้วางใจในฝีมือให้นั่งตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารกลางต่อไปตามความคาดหมาย แม้เขามีอายุครบ 65 ปีเมื่อเดือนม.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งครบกำหนดเกษียณอายุการทำงานตามระบบของจีนก็ตาม
การครองตำแหน่งต่อไปนายโจว ซึ่งผูกขาดมาตั้งแต่ปี 2547 และเขาเป็นแรงขับเคลื่อนหลักในการเปิดเสรีการเงินของจีน ส่งสัญญาณว่า ปักกิ่งต้องการเร่งการปฏิรูปเศรษฐกิจบนพื้นฐานของระบบตลาด เพื่อรักษาการเติบโตของเศรษฐกิจจีนอย่างยั่งยืนในระยะยาว และให้การดำเนินนโยบายมีความต่อเนื่องในท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษกิจโลก
สำหรับตำแหน่งรัฐมนตรีคลังคนใหม่ได้แก่นาย โหลว จี้เหว่ย อดีตประธานบริหารกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของจีน หรือ ซีไอซี บุคคลสำคัญในการวางนโยบายปฏิรูปภาษีของจีนเมื่อปี 2537 โดยเขาจะดูแลการปฏิรูป เพื่อลดภาระภาษีสำหรับบริษัทขนาดย่อม และเปลี่ยนแปลงด้านพื้นฐาน เพื่อช่วยรัฐบาลท้องถิ่นลดการพึงพาการขายที่ดินเป็นรายได้หลัก
ตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการด้านการพัฒนาและการปฏิรูปแห่งชาติ ซึ่งเป็นหน่วยงานการวางแผนเศรษฐกิจได้แก่นายสีว์ เส้าสื่อ อดีตรัฐมนตรีกระทรวงที่ดินและทรัพยากร โดยเขาจะมีอำนาจอนุมัติโครงการลงทุนขนาดใหญ่
ส่วนตำแหน่งรัฐมนตรีพาณิชย์จีนคนใหม่ได้แก่นายเกา หู่เฉิง ซึ่งจะดูแลภาคการส่งออกขนาดใหญ่ของจีนในสถานการณ์ ที่สงครามน้ำลายระหว่างจีนกับชาติคู่ค้ากำลังมีมากขึ้น