เอเยนซี - นายกฯ ญี่ปุ่นออกแถลงยืนยันสิทธิเหนือหมู่เกาะฯ ขณะที่รัฐมนตรีต่างประเทศของจีน และญี่ปุ่นได้พบปะนอกรอบ ระหว่างการประชุมใหญ่ยูเอ็น ด้วยความตึงเครียดไม่มีทีท่าประนีประนอมกันในประเด็นหมู่เกาะพิพาทเตี้ยวอี่ว์ ด้านนักวิเคราะห์เศรษฐกิจชี้ สองฝ่ายไม่ยอมแตกหักแน่นอน เพราะเดิมพันเศรษฐกิจของประเทศมีความเสี่ยงสูง
สื่อต่างประเทศรายงาน (27 ก.ย.) ว่า ระหว่างการประชุมสมัชชาใหญ่ สหประชาชาติครั้งที่ 67 ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 26 ก.ย. ที่ผ่านมา รัฐมนตรีต่างประเทศของจีน นายหยัง เจี๋ยฉือ และนายโคอิจิโร เกมบะ รัฐมนตรีต่างประเทศญี่ปุ่น ได้หารือกันนอกรอบการประชุมฯ อันเป็นการเจรจาระหว่างตัวแทนระดับสูงของรัฐบาลสองฝ่ายครั้งแรก นับตั้งแต่ญี่ปุ่นประกาศซื้อหมู่เกาะเตี้ยวอี่ว์ (หมู่เกาะเซนกากุ) เมื่อวันที่ 11 ก.ย. ที่ผ่านมา จนเกิดกระแสต่อต้านรุนแรงในจีน
ด้านนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น โยชิฮิโกะ โนดะ ยังได้แถลงยืนกรานเมื่อวันพุธ (27 ก.ย.) ว่าเรื่องอธิปไตยหมู่เกาะพิพาทฯ เป็นประเด็นที่ไม่อาจประนีประนอมกับจีนได้ ซึ่งจีนยังมีความเข้าใจผิดในเขตอำนาจอธิปไตย และเรียกร้องให้กลุ่มชาตินิยมในจีนยุติการสร้างความเสียหายให้กับกิจการและประชาชนญี่ปุ่น รวมถึงโอกาสทางธุรกิจอื่นๆ ในจีน
"ทุกชาติ ต่างมีความรับผิดชอบในการปกป้องความสงบ ความปลอดภัยของประชาชน และรักษาอธิปไตยของตน ญี่ปุ่นก็มีความรับผิดชอบต่อการดังกล่าว ซึ่งล้วนกระทำภายใต้กรอบกฎหมายระหว่างประเทศ"
"หมู่เกาะเซนกากุ เป็นอาณาเขตของญี่ปุ่น ทั้งในทางประวัติศาสตร์และกฎหมายระหว่างประเทศ อันเป็นประเด็นที่ชัดแจ้งอยู่แล้ว และไม่อาจประนีประนอมใดๆ ที่นอกเหนือไปจากหลักการดังกล่าว" โนดะ ยืนกราน
โนดะ ยังได้กล่าวเสริมว่า ส่วนหนึ่งของหมู่เกาะเซนกากุถือครอบครองสิทธิโดยเอกชนสัญชาติญี่ปุ่น และได้โอนสิทธิครอบครองให้กับรัฐบาลภายใต้กฎหมายญี่ปุ่น ซึ่งเรื่องนี้ เราได้อธิบายให้จีนอย่างละเอียดแล้ว แต่ดูเหมือนจีนจะไม่เข้าใจ และความไม่เข้าใจกลายเป็นความขุ่นแค้นเคืองโกรธ กระทั่งลุกลามเป็นความรุนแรงทำลายทรัพยสินของชาวญีปุ่นในจีน
สำหรับบรรยากาศการหารือนอกรอบของรัฐมนตรีฯ ต่างประเทศ ทั้งสองฝ่าย รายงานข่าวกล่าวว่าเป็นไปอย่างเคร่งเครียด โดยนายหยัง ได้กล่าวว่า การซื้อหมู่เกาะฯ ดังกล่าว ฝืนและทำลายสนธิสัญญาฯ หลังสงครามโลกครั้งที่สอง และจีนไม่อาจยอมให้ญี่ปุ่นกระทำการฝ่ายเดียว ซึ่งอาจหมายถึงการใช้มาตรการเด็ดขาดเพื่อปกป้องอธิปไตยและความมั่นคงของจีน
ขณะที่นางนาโอโกะ ไซกิ เจ้าหน้าที่อาวุโสของกระทรวงต่างประเทศญี่ปุ่น ให้ความเห็นว่า แม้ทั้งสองฝ่ายจะยืนกราน และไม่มีท่าทีประนีประนอมต่อกัน ซึ่งทำให้การเจรจาเป็นเรื่องยาก แต่สองชาติต่างก็ไม่ต้องการให้เกิดสงคราม หรือการใช้กำลังทหาร ดังนั้น จึงจะหาทางออกอย่างสันติวิธีต่อไป พร้อมกันนี้ ระหว่างการประชุมที่นิวยอร์ก รัฐบาลญี่ปุ่นยังได้ส่งรัฐมนตรีช่วย กระทรวงต่างประเทศไปหารือกับ รัฐมนตรีช่วย กระทรวงต่างประเทศของจีนแล้วเช่นกัน
สื่อต่างประเทศ ยังได้รายงานความเห็นของบรรดานักวิเคราะห์เศรษฐกิจ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกว่า สถานการณ์ความขัดแย้งนี้ จะไม่รุนแรงถึงขั้นเกิดสงคราม โดยนายเจเรมี สตีเฟนส์ นักวิเคราะห์จากธนาคารสแตนดาร์ด ในกรุงปักกิ่ง กล่าวว่า รัฐบาลของทั้งสองชาติจะไม่มีทางใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหาหมู่เกาะฯ เพราะปัจจุบันมีปัญหาที่ใหญ่กว่า คือปัญหาเศรษฐกิจและการค้า ซึ่งสงครามย่อมส่งผลร้ายต่อเศรษฐกิจอย่างแน่นอน และลำพังเฉพาะจีน - ญี่ปุ่น นี้ ต่างเป็นคู่ค้าที่มีมูลค่าการค้าระหว่างกันเฉลี่ยปีหนึ่งๆ ไม่ต่ำกว่า 3.42 แสนล้านดอลลาร์
เช่นเดียวกับนายอีวาน เซลิกเชฟ ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยการจัดการ กรุงปักกิ่ง กล่าวว่า เป็นเรื่องปรกติที่สองชาติต้องแสดงท่าทีแข็งกร้าว ยืนกราน และกดดันคู่กรณี แต่ก็เป็นการใช้แรงกดดันทางเศรษฐกิจมากกว่า เช่นที่ญี่ปุ่นกดดันจีนว่าจะย้านฐานลงทุนไปประเทศอื่น และจีนก็ใช้มาตรการกีดกันการค้าว่าแม้ผลิตที่อื่น ก็ไม่มีลูกค้าในจีน เป็นการตอบโต้ ซึ่งต่างก็เจ็บทั้งคู่