นักทฤษฎีศิลปะและวรรณกรรม นักสะสม ศิลปินลายมือเขียนพู่กันจีน ข้าราชการเกษียณ ที่ลุกขึ้นเสริมเต้า แต่งหญิง ในวัย 80 ปี เขาหรือเธอคือชาวข้ามเพศที่อายุมากที่สุดในจีน ที่กล้าเปิดเผยตัวตนสู่สาธารณะ หลังจากยืดอกให้สัมภาษณ์สื่อจีนเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว หวังชาวจีนเข้าใจชาวข้ามเพศมากขึ้น
"เฉียน จินฟาน" หรืออีกชื่อหนึ่งคือ "อีหลิง" ปัจจุบันอายุ 84 ปี เกิดเมื่อปี 1928 ที่เมืองจยาซิง มณฑลเจ้อเจียง ในตระกูลขุนนางชั้นสูงของราชวงศ์หมิงและชิง ตระกูลเฉียนมี จิ้นซื่อ (进士 ผู้สอบเข้ารับราชการได้ขั้นสูงจนมีสิทธิ์เข้าสอบรอบสุดท้ายที่ฮ่องเต้จัดสอบ) และ จู่เหริน (举人 ผู้สอบเข้ารับราชการผ่านจนมีสิทธิ์เข้าสอบคัดเลือกในระดับมณฑลต่อ) รวมทั้งสิ้นถึง 14 รุ่น เฉียน จินฟาน เคยทำงานที่ธนาคารประชาชนจีน สำนักศิลปะฝัวซาน และเกษียณอายุในตำแหน่งหัวหน้ากองสำนักงานด้านวัฒนธรรม วิทยุ โทรทัศน์ ข่าวสารและการพิมพ์เมืองฝัวซาน
ชาวข้ามเพศ หมายถึงผู้ที่คิดว่าเพศของตนไม่ตรงกับอวัยวะบ่งชี้เพศของร่างกาย หรืออาจกล่าวได้ว่าเพศจริงๆ ของบุคคลนั้นไม่ใช่เพศที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด
เฉียน จินฟาน ประกาศตัวว่าเป็นชาวข้ามเพศคนหนึ่ง ที่แม้จะเกิดมาเป็นชาย แต่เขาใฝ่ฝันมาตลอดชีวิตที่จะเป็นผู้หญิง ความฝันนี้ถูกเก็บงำไว้จนกระทั่งเขาอายุ 80 ปี จึงค่อยรู้สึกว่าเป็นเวลาที่พร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ 4 ปีก่อน เขาจึงตัดสินใจยื่นหนังสือชี้แจงความต้องการเปลี่ยนเพศเป็นผู้หญิง กับสำนักงานด้านวัฒนธรรม วิยุ โทรทัศน์ ข่าวสารและการพิมพ์เมืองฝัวซาน ซึ่งเป็นต้นสังกัด จากนั้นเริ่มรับประทานฮอร์โมนเพิ่มเต้านมและแต่งตัวเป็นผู้หญิง โดยไม่ถูกคัดค้านจากต้นสังกัดแต่อย่างใด
นอกจากนี้ เฉียน จินฟาน ยังเป็น คณะกรรมการปฏิวัติพรรคก๊กมินตั๋งประจำเมืองฝัวซาน ส่วนที่บ้าน เขาคือสามีและพ่อคนหนึ่ง
เฉียน จินฟาน เริ่มอยากเป็นผู้หญิงตั้งแต่เขาอายุได้ 3 ขวบ "อายุได้ 14-15 ปีตะโพกผมเริ่มผายเพราะชอบเดินบิด เวลาอยู่คนเดียวจึงจะแสดงออก แต่ถ้าอยู่ต่อหน้าคนอื่นจะเก็บอาการ แต่นานๆ ทีก็หลุดมือไม้ไปบ้างเหมือนกัน" จวบจนกระทั่งบิดามารดาเสียชีวิตก็ไม่ทราบว่าบุตรชายคนนี้อยากเป็นผู้หญิง เฉียน จินฟานแต่งงานขณะอายุได้ 54 ปีโดยในตอนนั้นภรรยาก็ไม่ทราบเช่นกัน
ความลับนี้ถูกเก็บมายาวนาน กระทั่งเดือนธันวาคม ปี 2008 เมื่อเขาพร้อม จึงเริ่มรับประทานฮอร์โมนเพิ่มเต้านมและแต่งตัวเป็นผู้หญิง ในปีนั้นภรรยาของเฉียนอายุได้ 60 ปีพอดี สิ่งที่เขากังวลคือการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะมีผลต่อตำแหน่งทางราชการ หรือถูกลดบำนาญหรือไม่?
จนกระทั่งปี 2009 เมื่อหน้าอกขึ้นมาเป็นรูปร่าง เฉียน จินฟาน จึงเขียนจดหมายชี้แจงต่อต้นสังกัด โดยอธิบายเหตุที่ต้องการเป็นผู้หญิง แม้ว่าจะไม่มีจดหมายตอบกลับจากต้นสังกัด แต่ทุกอย่างยังเหมือนเดิมทั้งตำแหน่งและจำนวนเงินบำนาญ อีกทั้งจดหมายเรียนเชิญประชุมประจำเดือนก็ได้รับตามปกติ "เดิมคิดว่าต้องฝ่าฟันมากกว่านี้ ไม่นึกว่าพวกเขาจะรับได้ตั้งนานแล้ว ทัศนคติที่มีต่อคนข้ามเพศของพวกเขาเปิดกว้างกว่าที่ผมคิดไว้" เขาเล่าด้วยว่าหัวหน้าฝ่ายบุคคลของสำนักงานฯ ซึ่งเคยเป็นเพื่อนร่วมงาน เมื่อเห็นเขาแต่งหญิง ก็เพียงกล่าวว่า "รู้เรื่องแล้ว ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร"
กันยายน ปี 2010 เขายื่นจดหมายอีกฉบับถึงต้นสังกัด แจ้งสถานะว่าตนเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง เนื่องจากตามกฎหมาย ผู้ที่ต้องการผ่าตัดแปลงเพศเป็นผู้หญิง จะต้องใช้ชีวิตในฐานะผู้หญิงมาไม่ต่ำกว่า 2 ปี แน่นอนว่าต้นสังกัดไม่ได้สนับสนุนอย่างเปิดเผย แต่ก็ไม่คัดค้าน หลังจากนั้น เฉียน จึงใช้ชีวิตแบบผู้หญิง ไม่ว่าจะในการเข้าประชุม หรือพักโรงแรม รวมทั้งเข้าห้องน้ำหญิง นอกจากนี้เมื่อต้องระบุเพศในเอกสารต่างๆ เขาจะเขียนว่า "อยู่ในระหว่างขั้นตอนเปลี่ยนจากเพศชายเป็นเพศหญิง" อีกด้วย
ความเป็นชายของ เฉียน จินฟาน ไม่มีปฏิกริยาตอบสนองเมื่อใกล้ชิดกับเพศหญิงแล้ว ส่วนภรรยาของเฉียน จินฟาน ในตอนแรกยังรับไม่ได้ที่จะออกไปไหนมาไหนกับสามีที่แต่งตัวเป็นผู้หญิง แต่ปัจจุบันนี้เริ่มดีขึ้น "ตอนนี้เวลาออกไปไหน ภรรยาผมก็เรียกผมไปด้วย แม้ว่าผมจะแต่งหญิง เธอก็จะบ่นนิดหน่อย แต่ก็ยอมออกไปด้วยกัน"
ส่วนลูกชายของ เฉียน จินฟานนั้นก็เคยตั้งคำถามกับผู้เป็นพ่อว่าเหตุใดต้องแต่งตัวแบบนี้ เฉียน ตอบว่า "พ่ออดทนมาหลาย 10 ปี สุดท้ายได้แต่ทำแบบนี้ แต่ก็ไม่เดือดร้อนใคร"
ขณะที่เพื่อนฝูงของเฉียน มีบ้างที่รับได้ และรับไม่ได้ ซึ่งเขาไม่เดือดร้อน "เพื่อนเก่าน้อยลง แต่ผมก็มีเพื่อนข้ามเพศเยอะขึ้น" ผู้เฒ่าชายใจหญิงกล่าว
นอกจากนี้เฉียน จินฟานยังไม่ชอบหากมีคนเรียกเขาว่า "กระเทย" เขาอธิบายว่า "ที่เป็นแบบนี้ ผมไม่คิดว่าผมด้อยว่าใคร เพราะผมไม่ได้ทำอะไรผิด"
เมื่อถามว่าเขามีแผนที่จะไปผ่าตัดแปลงเพศเมื่อไหร่ เฉียน จินฟานกล่าวว่าอยากไปให้เร็วที่สุด เพราะการผ่าตัดแปลงเพศจะทำให้ความฝันในการเป็นผู้หญิงของเขาลุล่วง ทว่าปัจจุบันการผ่าตัดแปลงเพศยังคงมีขีดจำกัดที่เป็นปัญหาอยู่มาก เขาจึงอยากรอให้วิทยาการทางการแพทย์พัฒนาจนก้าวผ่านขีดจำกัดเหล่านั้นไปให้ได้เสียก่อน แต่ก็ไม่รู้ว่าต้องรออีกนานเท่าใด
"เฉียน จินฟาน" หรืออีกชื่อหนึ่งคือ "อีหลิง" ปัจจุบันอายุ 84 ปี เกิดเมื่อปี 1928 ที่เมืองจยาซิง มณฑลเจ้อเจียง ในตระกูลขุนนางชั้นสูงของราชวงศ์หมิงและชิง ตระกูลเฉียนมี จิ้นซื่อ (进士 ผู้สอบเข้ารับราชการได้ขั้นสูงจนมีสิทธิ์เข้าสอบรอบสุดท้ายที่ฮ่องเต้จัดสอบ) และ จู่เหริน (举人 ผู้สอบเข้ารับราชการผ่านจนมีสิทธิ์เข้าสอบคัดเลือกในระดับมณฑลต่อ) รวมทั้งสิ้นถึง 14 รุ่น เฉียน จินฟาน เคยทำงานที่ธนาคารประชาชนจีน สำนักศิลปะฝัวซาน และเกษียณอายุในตำแหน่งหัวหน้ากองสำนักงานด้านวัฒนธรรม วิทยุ โทรทัศน์ ข่าวสารและการพิมพ์เมืองฝัวซาน
ชาวข้ามเพศ หมายถึงผู้ที่คิดว่าเพศของตนไม่ตรงกับอวัยวะบ่งชี้เพศของร่างกาย หรืออาจกล่าวได้ว่าเพศจริงๆ ของบุคคลนั้นไม่ใช่เพศที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด
เฉียน จินฟาน ประกาศตัวว่าเป็นชาวข้ามเพศคนหนึ่ง ที่แม้จะเกิดมาเป็นชาย แต่เขาใฝ่ฝันมาตลอดชีวิตที่จะเป็นผู้หญิง ความฝันนี้ถูกเก็บงำไว้จนกระทั่งเขาอายุ 80 ปี จึงค่อยรู้สึกว่าเป็นเวลาที่พร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ 4 ปีก่อน เขาจึงตัดสินใจยื่นหนังสือชี้แจงความต้องการเปลี่ยนเพศเป็นผู้หญิง กับสำนักงานด้านวัฒนธรรม วิยุ โทรทัศน์ ข่าวสารและการพิมพ์เมืองฝัวซาน ซึ่งเป็นต้นสังกัด จากนั้นเริ่มรับประทานฮอร์โมนเพิ่มเต้านมและแต่งตัวเป็นผู้หญิง โดยไม่ถูกคัดค้านจากต้นสังกัดแต่อย่างใด
นอกจากนี้ เฉียน จินฟาน ยังเป็น คณะกรรมการปฏิวัติพรรคก๊กมินตั๋งประจำเมืองฝัวซาน ส่วนที่บ้าน เขาคือสามีและพ่อคนหนึ่ง
เฉียน จินฟาน เริ่มอยากเป็นผู้หญิงตั้งแต่เขาอายุได้ 3 ขวบ "อายุได้ 14-15 ปีตะโพกผมเริ่มผายเพราะชอบเดินบิด เวลาอยู่คนเดียวจึงจะแสดงออก แต่ถ้าอยู่ต่อหน้าคนอื่นจะเก็บอาการ แต่นานๆ ทีก็หลุดมือไม้ไปบ้างเหมือนกัน" จวบจนกระทั่งบิดามารดาเสียชีวิตก็ไม่ทราบว่าบุตรชายคนนี้อยากเป็นผู้หญิง เฉียน จินฟานแต่งงานขณะอายุได้ 54 ปีโดยในตอนนั้นภรรยาก็ไม่ทราบเช่นกัน
ความลับนี้ถูกเก็บมายาวนาน กระทั่งเดือนธันวาคม ปี 2008 เมื่อเขาพร้อม จึงเริ่มรับประทานฮอร์โมนเพิ่มเต้านมและแต่งตัวเป็นผู้หญิง ในปีนั้นภรรยาของเฉียนอายุได้ 60 ปีพอดี สิ่งที่เขากังวลคือการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะมีผลต่อตำแหน่งทางราชการ หรือถูกลดบำนาญหรือไม่?
จนกระทั่งปี 2009 เมื่อหน้าอกขึ้นมาเป็นรูปร่าง เฉียน จินฟาน จึงเขียนจดหมายชี้แจงต่อต้นสังกัด โดยอธิบายเหตุที่ต้องการเป็นผู้หญิง แม้ว่าจะไม่มีจดหมายตอบกลับจากต้นสังกัด แต่ทุกอย่างยังเหมือนเดิมทั้งตำแหน่งและจำนวนเงินบำนาญ อีกทั้งจดหมายเรียนเชิญประชุมประจำเดือนก็ได้รับตามปกติ "เดิมคิดว่าต้องฝ่าฟันมากกว่านี้ ไม่นึกว่าพวกเขาจะรับได้ตั้งนานแล้ว ทัศนคติที่มีต่อคนข้ามเพศของพวกเขาเปิดกว้างกว่าที่ผมคิดไว้" เขาเล่าด้วยว่าหัวหน้าฝ่ายบุคคลของสำนักงานฯ ซึ่งเคยเป็นเพื่อนร่วมงาน เมื่อเห็นเขาแต่งหญิง ก็เพียงกล่าวว่า "รู้เรื่องแล้ว ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร"
กันยายน ปี 2010 เขายื่นจดหมายอีกฉบับถึงต้นสังกัด แจ้งสถานะว่าตนเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง เนื่องจากตามกฎหมาย ผู้ที่ต้องการผ่าตัดแปลงเพศเป็นผู้หญิง จะต้องใช้ชีวิตในฐานะผู้หญิงมาไม่ต่ำกว่า 2 ปี แน่นอนว่าต้นสังกัดไม่ได้สนับสนุนอย่างเปิดเผย แต่ก็ไม่คัดค้าน หลังจากนั้น เฉียน จึงใช้ชีวิตแบบผู้หญิง ไม่ว่าจะในการเข้าประชุม หรือพักโรงแรม รวมทั้งเข้าห้องน้ำหญิง นอกจากนี้เมื่อต้องระบุเพศในเอกสารต่างๆ เขาจะเขียนว่า "อยู่ในระหว่างขั้นตอนเปลี่ยนจากเพศชายเป็นเพศหญิง" อีกด้วย
ความเป็นชายของ เฉียน จินฟาน ไม่มีปฏิกริยาตอบสนองเมื่อใกล้ชิดกับเพศหญิงแล้ว ส่วนภรรยาของเฉียน จินฟาน ในตอนแรกยังรับไม่ได้ที่จะออกไปไหนมาไหนกับสามีที่แต่งตัวเป็นผู้หญิง แต่ปัจจุบันนี้เริ่มดีขึ้น "ตอนนี้เวลาออกไปไหน ภรรยาผมก็เรียกผมไปด้วย แม้ว่าผมจะแต่งหญิง เธอก็จะบ่นนิดหน่อย แต่ก็ยอมออกไปด้วยกัน"
ส่วนลูกชายของ เฉียน จินฟานนั้นก็เคยตั้งคำถามกับผู้เป็นพ่อว่าเหตุใดต้องแต่งตัวแบบนี้ เฉียน ตอบว่า "พ่ออดทนมาหลาย 10 ปี สุดท้ายได้แต่ทำแบบนี้ แต่ก็ไม่เดือดร้อนใคร"
ขณะที่เพื่อนฝูงของเฉียน มีบ้างที่รับได้ และรับไม่ได้ ซึ่งเขาไม่เดือดร้อน "เพื่อนเก่าน้อยลง แต่ผมก็มีเพื่อนข้ามเพศเยอะขึ้น" ผู้เฒ่าชายใจหญิงกล่าว
นอกจากนี้เฉียน จินฟานยังไม่ชอบหากมีคนเรียกเขาว่า "กระเทย" เขาอธิบายว่า "ที่เป็นแบบนี้ ผมไม่คิดว่าผมด้อยว่าใคร เพราะผมไม่ได้ทำอะไรผิด"
เมื่อถามว่าเขามีแผนที่จะไปผ่าตัดแปลงเพศเมื่อไหร่ เฉียน จินฟานกล่าวว่าอยากไปให้เร็วที่สุด เพราะการผ่าตัดแปลงเพศจะทำให้ความฝันในการเป็นผู้หญิงของเขาลุล่วง ทว่าปัจจุบันการผ่าตัดแปลงเพศยังคงมีขีดจำกัดที่เป็นปัญหาอยู่มาก เขาจึงอยากรอให้วิทยาการทางการแพทย์พัฒนาจนก้าวผ่านขีดจำกัดเหล่านั้นไปให้ได้เสียก่อน แต่ก็ไม่รู้ว่าต้องรออีกนานเท่าใด