ไชน่า เดลี – จีนเร่งพัฒนาภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าและรถไฮบริด มุ่งเป้ายอดขายรวมยานยนต์ประหยัดพลังงาน-พลังงานทางเลือก ในปี 2563 (ค.ศ.2020) ต้องทะลุ 5 ล้านคัน และลดยอดการใช้น้ำมันเฉลี่ยของรถนั่งส่วนบุคคลเหลือ 5 ลิตรต่อ 100 กม.
เมื่อวันพุธที่แล้ว (18 เม.ย.) คณะรัฐมนตรีจีนเพิ่งให้การอนุมัติมาตรการในการยกระดับอุตสาหกรรมรถยนต์ของประเทศ โดยแผนการพัฒนาเพื่อตอบสนองการประหยัดพลังงานและยานยนต์ที่ใช้พลังงานใหม่ๆ ดังกล่าวถูกเตรียมการไว้มานานแล้ว
สำหรับเนื้อหาในแผนดังกล่าวถือว่าเป็นครั้งแรกที่กำหนดให้ยานยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบเป็นยุทธศาสตร์สำคัญของจีนในการยกระดับอุตสาหกรรมรถยนต์ของจีนที่ปัจจุบันใหญ่โตมาก แต่ขาดความแข็งแกร่ง โดยยานยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบ และรถยนต์ไฟฟ้าลูกประสมแบบเสียบปลั๊ก (Plug-in Hybrid) จะได้รับความสำคัญสูงสุด เช่นเดียวกันกับรถยนต์ลูกประสม และรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในแบบประหยัดพลังงานที่ใช้งานกันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน
แผนดังกล่าวตั้งเป้าหมายไว้ว่าภายในปี 2558 (ค.ศ.2015) ยอดการผลิตและยอดขายของยานยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ และแบบเสียบปลั๊กจะต้องถึง 500,000 คัน และจะต้องมากกว่า 5 ล้านคันภายในปี 2563 (ค.ศ.2020) นอกจากนี้ยังตั้งเป้าที่จะลดการใช้น้ำมันเฉลี่ยของรถยนต์นั่งส่วนบุคคลให้เหลือ 6.9 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตรภายในปี 2558 และ ให้เหลือ 5 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ภายในปี 2563 อีกด้วย
ทั้งนี้เพื่อให้แผนบรรลุผล รัฐบาลจีนจะดำเนินการกระตุ้นการซื้อ และใช้งานยานยนต์ประหยัดพลังงานด้วยการอุดหนุน และผลักดันให้มีการสร้างสถานีประจุไฟสำหรับยานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้าเพิ่มขึ้น
“เราเห็นด้วยกับแผนดังกล่าว และพร้อมที่จะดำเนินการตามนโยบายการกระตุ้นอุตสาหกรรมของรัฐ เนื่องจากบริษัทของเรามีวิศวกรกว่า 200 คนที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย และพัฒนาชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า” นายเฉิน อี้ว์ตง ประธานของบริษัทการลงทุนบอช (ประเทศจีน) กล่าว โดยในปีนี้บริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์สัญชาติเยอรมันจะเปิดศูนย์วิจัยและพัฒนาแห่งที่ 5 ในประเทศจีน
อย่างไรก็ตาม นายจง ซือ นักวิเคราะห์อิสระผู้เชี่ยวชาญเรื่องยานยนต์ในปักกิ่งกลับตั้งข้อสังเกตว่า ผู้ที่จะชี้ชะตาอนาคตของอุตสาหกรรมนี้จะอย่างไรก็ยังคงเป็นตลาดและผู้บริโภค “การตัดสินใจของผู้บริโภคจะชี้ขาด ยานยนต์ที่ได้รับการยอมรับจากผู้บริโภค จึงจะสามารถนำภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ของจีนไปสู่อนาคตได้”
เขายังกล่าวด้วยว่า การขับเคลื่อนให้แผนดังกล่าวสามารถบรรลุเป้าหมายได้ การให้เงินอุดหนุนแก่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าก็ถือเป็นกุญแจสำคัญอันหนึ่งเหมือนกัน
“การให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำแก่ผู้ผลิตรถยนต์เหมือนกับที่รัฐบาลนายบารัก โอบามาทำ หรือ การอุดหนุนทางการเงินเหมือนที่รัฐบาลจีนเคยทำในช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้นถือว่าเป็นสิ่งที่แตกต่างกันอย่างมาก” จงกล่าว
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่รัฐบาลจีนให้การสนับสนุนอย่างมากมายต่อภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ จีนถือว่าเป็นประเทศที่ยืนอยู่แถวหน้าของยานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานรูปแบบใหม่ โดยบริษัทรถยนต์ใหญ่ๆ ในประเทศต่างตั้งวิสัยทัศน์ในการพัฒนารถยนต์สีเขียว เพื่อตอบสนองต่อความต้องการในประเทศที่มีตลาดรถยนต์ใหญ่โตที่สุดในโลกด้วยกันทั้งสิ้น
เดือนที่แล้ว บริษัทผู้ผลิตแบตเตอรี่และรถยนต์อย่าง บีวายดี (BYD) และหุ้นส่วนจากเยอรมัน เดมเลอร์ได้ ร่วมกันตั้งแบรนด์ใหม่เพื่อผลิตรถยนต์ไฟฟ้าด้วยเงินร่วมทุนกว่า 600 ล้านหยวน (ราว 3,000 ล้านบาท) และมีแผนว่ารถยนต์พลังงานไฟฟ้าคันแรกที่บริษัทดังกล่าวทำการผลิตจะออกสู่ตลาดในปีหน้า (2556)
ด้านกลุ่มเซี่ยงไฮ้ยานยนต์ (SAIC) ผู้ผลิตรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในจีนเมื่อวัดจากรายได้ ในปีที่แล้วได้ขยายความร่วมมือกับ เจเนอรัล มอเตอร์ส บริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่จากสหรัฐฯ เพื่อพัฒนาแท่นผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าโดยเฉพาะขึ้นมาสำหรับตลาดจีน
ส่วนโฟล์คสวาเกน ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติเยอรมันก็ระบุว่าทางตนเองก็มีแผนที่จะผลิตรถยนต์รุ่นกอล์ฟที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าภายในปี 2556 (ค.ศ.2013) ออกขายแข่งกับบริษัทอื่นๆ ในตลาดจีนด้วยเช่นกัน