xs
xsm
sm
md
lg

แจ๋ว หรือเจ๊ง ! จับตาจีนบุกตลาดอสังหาฯแมนฮัตตัน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

หมู่ตึกอาคารสำนักงานในย่านแมนฮัตตันของนครนิวยอร์ก - เอเจนซี่
เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ - ในช่วงปี 2554 ที่เพิ่งจากไป เกิดกระแสบริษัทจีนแห่ไปซื้ออสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ในนครนิวยอร์ก และเมืองใหญ่อื่น ๆ ของสหรัฐฯ เพื่อหวังทำกำไรในช่วงที่ราคาอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐฯ กำลังตกลง แต่นักวิเคราะห์กำลังจับตามองว่า บริษัทจากแดนมังกรจะประสบความสำเร็จจากการลงทุนในดินแดนแห่งโอกาส แต่ก็มีความเสี่ยงอย่างสหรัฐฯ หรือไม่

บริษัทจีนเหล่านี้ อาทิ HNA Property Holdings ซึ่งเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ในเครือHNA Group ของจีน เข้าซื้ออาคารสำนักงานระดับแถวหน้าในย่านแมนฮัตตันของนครนิวยอร์กด้วยเงินจำนวน 265 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อเดือนมิ.ย. ปีที่แล้ว นอกจากนั้น ยังประกาศแผนซื้ออสังหาริมทรัพย์เพิ่มเติมในสหรัฐฯ และยุโรป โดยใช้วงเงินสินเชื่อจำนวน 4 หมื่นล้านหยวน

บริษัทจีนรายอื่น ๆ ที่เล็งผลเลิศจากราคาอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ตามเมืองใหญ่ ๆ ของสหรัฐฯ ที่ดิ่งลงราวร้อยละ 40 ระหว่างเกิดวิกฤตการเงินในสหรัฐฯ รวมถึง Soufun Holdings ซึ่งเป็นเจ้าของเว็บไซต์อสังหาริมทรัพย์ใหญ่ที่สุดบนแผ่นดินใหญ่ และไชน่าอินเวสต์เมนต์คอร์ป หรือCIC ซึ่งเป็นกองทุนความมั่นคั่งแห่งชาติของจีน ที่บริหารจัดการเงินจำนวนมหาศาลถึง 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

นายอัลเลน อู๋ หุ้นส่วนฝ่ายบริหารของบริษัทกฎหมาย Wu & Kao ในนิวยอร์ก ซึ่งเป็นตัวแทนของHNA ในการเข้าซื้ออาคารคาดว่า จีนคือผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์รายใหญ่ที่สุดในปีที่แล้ว หลังจากครองอันดับ 2 ในปีก่อนหน้า

จนถึงขณะนี้ การลงทุนของต่างชาติในตลาดอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐฯ ยังไม่ถูกคัดค้านจากนักการเมือง หรือภาคอุตสาหกรรมในประเทศ เนื่องจากไม่ถือเป็นทรัพย์สินทางยุทธศาสตร์เหมือนบริษัทด้านพลังงาน และบริษัทด้านการสื่อสารโทรคมนาคม

นอกจากนั้น การเข้าซื้ออาคารสำนักงานระดับแถวหน้าในย่านแมนฮัตตันของHNA ฝ่ายเจ้าของตึกคือบริษัท Murray Hill Properties ยังมองว่า HNA ว่าเป็นอัศวิน เพราะช่วยให้รอดจากการถูกธนาคารยึดจำนอง โดยตามข้อตกลงการซื้อขายนั้น HNA เข้าครอบครองร้อยละ 90 ของตึกสูง 23 ชั้น โดยซื้อจากCarlyle Group ร้อยละ 85 และร้อยละ 5 จากMurray Hill เหลือให้ Murray Hill ไว้ร้อยละ 10 โดยบริษัทรายนี้ยังคงเป็นผู้บริหารจัดการตึกต่อไป

จากข้อมูลของบริษัทวิจัยReal Capital Analytics ระบุว่า การขายอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ในนครนิวยอร์กแก่นักลงทุนต่างชาติเพิ่มถึง 6,700 ล้านดอลลาร์ในปี 2553 จาก 3,800 ล้านดอลลาร์ในปี 2552 โดยในส่วนของผู้ซื้อจากจีนพุ่งถึง 127 ล้านดอลลาร์ในปี 2553 จาก 18 ล้านดอลลาร์ในปี 2552 อย่างไรก็ตาม ข้อมูลนี้ยังไม่รวมการซื้อผ่านกองทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นช่องทางปกติในการเข้าซื้อของนักลงทุนชาวจีน

นักวิเคราะห์ระบุว่า บริษัทจีน โดยเฉพาะรัฐวิสาหกิจกำลังขยายการลงทุนในต่างประเทศ โดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลกลางในการกระจายการลงทุนในต่างแดน นอกจากนั้น อีกปัจจัยหนึ่ง ที่หนุนให้บริษัทจีนแห่ไปซื้ออาคารสำนักงานชั้นหนึ่ง หรือโรงแรมหรูในนิวยอร์กก็เนื่องจากกฎระเบียบในการลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์เข้มงวดน้อยกว่าในภาคการสื่อสารโทรคมนาคม ภาคน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ ซึ่งยังคงเจาะเข้าถึงได้ยาก เนื่องจากสหรัฐฯ ถือเป็นความมั่นคงของชาติ

อย่างไรก็ตาม ผู้สังเกตการณ์บางคนมองการแห่เข้ามาลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์สหรัฐฯ ของบริษัทจีนว่าดูคล้ายคลึงกับบทเรียนอันเจ็บปวดที่ญี่ปุ่นเคยได้รับมากขึ้นทุกทีในช่วงทศวรรษ1980 เมื่อนักลงทุนญี่ปุ่นเข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์บนแดนลุงแซมอย่างมั่นใจสูง และเป็นข่าวโด่งดังด้วย เช่นการซื้อศูนย์ร็อกกี้เฟลเล่อร์ในย่านแมนฮัตตั้น และสนามเพ็บเบิ้ล บีช กอล์ฟ ลิงก์ส (Pebble Beach Golf Links) ในรัฐแคลิฟอร์เนีย โดยนักลงทุนญี่ปุ่นเป็นผู้ซื้ออันดับหนึ่งในตลาดดังกล่าว แต่แล้วเมื่อราคาอสังหาริมทรัพย์ตก ก็ต้องสูญเงินไปหลายพันล้านดอลลาร์

นายโจเซฟ รูบิน หัวหน้าฝ่ายบริการที่ปรึกษาด้านการซื้อขายของบริษัท Ernest & Young เตือนว่า สหรัฐฯ เป็นดินแดนของโอกาสก็จริง แต่ก็เป็นดินแดนแห่งความเสี่ยงด้วย โดยเขาอ้างถึงปัญหาต่างๆ ที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐฯ กำลังประสบอยู่ในขณะนี้

อย่างไรก็ตาม นายอู๋กลับมองในแง่ดีว่า การเข้าสู่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ของนักลงทุนจีนแตกต่างจากญี่ปุ่น เนื่องจากบริษัทจีนเข้ามาในช่วงที่ตลาดกำลังตกต่ำ อีกทั้งอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ในย่านแมนฮัตตันมีความยืดหยุ่นและจะฟื้นตัวได้เร็วกว่าตลาดในรัฐอื่น ๆ ในท่ามกลางวิกฤตการเงินโลก

นอกจากนั้น การเข้าซื้อของจีนยังเกิดขึ้นในช่วงเดียวกับที่บริษัทของจีนกำลังแห่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ โดยมีบริษัทที่ได้จดทะเบียนแล้ว 160 รายในปัจจุบัน และต่อไปบริษัทเหล่านี้จำเป็นต้องมีสำนักงานในนครนิวยอร์ก และบริษัทจีนส่วนใหญ่ก็พึงพอใจ ที่จะเช่าพื้นที่อาคาร ซึ่งมีบริษัทจีนด้วยกันเป็นเจ้าของมากกว่าอีกด้วย
กำลังโหลดความคิดเห็น