เอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์/ เอเยนซี - บริษัทบนแดนมังกรทั้งหลายต่างมั่นอกมั่นใจว่าปีมังกร 2555 จะนำพาความมั่งคั่งและผลกำไรเข้าสู่บริษัทของตนหลายเท่าตัว เพราะทุก ๆ 12 ปีเวียนมาบรรจบครบรอบปีมังกรเมื่อไร บรรดาแม่ชาวจีนก็จะเร่งให้กำเนิดลูกน้อยตามความเชื่อเรื่องสิริมงคลปีมังกร “ดังนั้นสินค้าเด็กอ่อน... ขายดิบขายดีแน่”
ผู้บริหารระดับหัวกะทิอ่านออกว่าวงจรธุรกิจช่วงไหนที่เป็นช่วงโกยผลประโยชน์ และธุรกิจในแดนมังกรหลายชนิดมิอาจละเลยสิ่งที่เรียกว่า “สถิติประชากร” ได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศจีนที่มีประเพณีตรึงติดอยู่กับความเชื่อเรื่องการให้กำเนิดบุตรในปีมังกร อันจะเริ่มขึ้นในวันที่ 23 ม.ค. 2555 บรรดามารดาชาวจีน ดินแดนอันมีประชากรมากสุดในโลก ต่างเตรียมตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรธิดาในช่วงปีมังกร จักรราศีอันมีสรรพคุณนำพาความมั่งคั่งและอำนาจมาสู่ครอบครัวตามคติเชื่อของชาวจีน
ฝ่ายรัฐบาลจีนดูมีแนวโน้มผ่อนคลายนโยบายจำกัดจำนวนประชากรลงบ้างแล้ว ทำให้ผู้ปกครองไม่ต้องหวั่นเรื่องการควบคุมฯ มากนัก เมื่อเด็กเล็กมีจำนวนมหาศาลในปีถัด ๆ ไป ความต้องการสินค้าก็ย่อมมากขึ้นตามไปด้วย มิเชล แมก นักวิเคราะห์ภาคการบริโภคแห่ง BNP Paribasอธิบายว่า “ปีมังกรนี้จำนวนเด็ก ๆ เพิ่มขึ้นมหาศาลแน่นอน ซึ่งก็จะทำให้อุปสงค์ต่อสินค้าเพิ่มขึ้น อาทิ นมผงสำหรับเด็ก ผ้าอ้อมเด็ก และเสื้อผ้า จิปาถะฯ”
ทัก หง เฉิง เจ้าหน้าที่สูติศาสตร์และนรีเวชวิทยาแห่งโรงพยาบาลปริ้นซ์ ออกเวลส์ ในฮ่องกงเผยว่า ในปีมังกร 2555 นี้จะต้องมีเด็กถือกำเนิดขึ้นมาเกิน 5 เปอร์เซ็นต์อย่างแน่นอน เพราะว่าบรรดาผู้ปกครองต้องการให้ลูกหลานของเขาเกิดมาในสัญลักษณ์ขององค์จักรพรรดิ์ก็คือ “มังกร” และการเพิ่มขึ้นมหาศาลของเด็กจะทำให้ประชากรจีนเพิ่มขยาย อาจทำให้ยอดคนแดนมังกรแตะ 1,388 ล้านคน ในปี 2563 จาก 1,334 ล้านคนในปี 2552 ตามตัวเลขขององค์การสหประชาชาติ
จีนกำหนดนโยบายลูกคนเดียวในปี 2522 เพื่อควบคุมการขยายตัวของจำนวนประชากรและขับเคลื่อนความเจริญรุ่งเรืองของประเทศ แต่ขณะนี้ประสบปัญหาอายุประชากรวัยทำงานลดลง ทำให้รัฐบาลต้องอนุญาตให้คู่ครองทั้งหลายที่มีบุตรคนเดียว สามารถมีคนที่สองได้แล้วบางพื้นที่
คู่สามีภรรยาในชนบทที่ลูกคนแรกเป็นเด็กหญิง หลังจากลูกโตได้ 4 ขวบก็สามารถมีคนที่ 2 ได้ กอปรกับรายได้เฉลี่ยต่อหัวของครัวเรือนในเมืองเพิ่มขึ้น 8 เปอร์เซ็นต์เมื่อปีที่ผ่านมา เป็น 19,109 หยวน ถือว่าเพิ่มมากกว่าปี 2548 ถึงเท่าตัว ผู้ปกครองชาวจีนก็คงหนีไม่พ้นต้องใช้จ่ายเงินส่วนนี้ไปกับลูกหลานอย่างแน่นอน
หลิว ถงโหย่ว หัวหน้าฝ่ายการเงินของบริษัทกุ้ดเบเบี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ผู้ผลิตรถเข็น รถสามล้อ และเก้าอี้เด็ก เล็งการณ์ไกลว่า ปีหน้าจะได้ฟื้นฟูกิจการจากปรากฎการณ์เด็กทารกเฟื่องฟูกันเสียที หลิวหวังว่ายอดขายในจีนปีมังกรนี้จะต้องเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าหากเทียบกับการขายในสหรัฐฯ ซึ่งยอดขายในครึ่งแรกของปี 2554 ประมาณร้อยละ 28 ของรายได้ทั้งหมดของบริษัท ( 253.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) มาจากจีน
ไมเคิล ฉี ที่ปรึกษาด้านการลงทุนของบริษัทหย่าซื่อลี่ ผู้ผลิตนมผงสำหรับเด็กเผยว่า ในปี 2553 สามารถทำยอดขายได้ 2,950 ล้านหยวน ก็ยังมีความหวังว่า ปีเด็กทารกเฟื่อง (2555) จะสามารถทำให้ยอดขายผลิตภัณฑ์ของบริษัทดีขึ้น ฉีเผยว่า “อนาคตนั้นสดใสมาก” พร้อมย้ำว่า บริษัทจะสามารถตอบสนองความต้องการของตลาดที่เพิ่มขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะปัจจุบันบริษัทผลิตเพียง 70 เปอร์เซ็นต์ของศักยภาพจริงที่สามารถผลิตได้
บริษัทวิจัยยูโรมอนิเตอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล คาดการณ์ว่า อัตราการขายผ้าอ้อมก็จะต้องเพิ่มขึ้นด้วย จากปี 2554 ที่สามารถขายได้ 24,300 ล้านหยวน ก็จะเพิ่มเป็น 28,400 ล้านหยวนในปี 2555 ตลอดจนตลาดอาหารเด็กก็จะโตขึ้นประมาณร้อยละ 22 จาก 68,000 ล้านหยวนในปี 2554 เป็นเกือบสองเท่าตัวมูลค่า 136,000 ล้านหยวนภายในปี 2558
ส่วนนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ของบริษัทนมผงของจีนที่ต้องประสบภาวะยากลำบากตลอด 3 ปีที่ผ่านมา หลังจากมีข่าวการปนเปื้อนเมลามีนในนมผงส่งผลให้เด็กทารกเสียชีวิต 6 รายในปี 2551 แต่หลังจากนั้นรายได้ของบริษัทฯ กลับกระเตื้องขึ้นแบบทวีคูณ อาทิ บริษัทอีลี่ อินดัสเตรียล กรุ๊ปแห่งมองโกเลียใน หุ้นตกลงมาถึง 67 เปอร์เซ็นต์ในปี 2551 หลังจากพบว่ามีบริษัทในเครือขายผลิตภัณฑ์ปนเปื้อนเมลามีนถึง 22 แห่ง แต่หลังจากนั้นหุ้นส่วนก็กระโดดขึ้นมาอีกกว่า 5 เท่าตัว ส่วนผู้ผลิตนมไชน่าเหมิงหนิวแดรี หุ้นตกลง 65 เปอร์เซ็นต์ในปี 2551 เช่นกัน แต่จากนั้นก็เพิ่มขึ้นอีกกว่าเท่าตัว
อย่างไรเสียบริษัทผู้ผลิตสินค้าเด็กของจีนก็ต้องแข่งขันกับผู้ผลิตต่างชาติ เนื่องจากผู้บริโภคยังคงมีทัศนคติว่ายี่ห้อท้องถิ่นนั้นไม่สู้ยี่ห้อต่างชาติ
เจมส์ รอย ที่ปรึกษาบริษัทวิจัยการตลาดของจีนเผยว่า บริษัทต่างชาติได้ครอบงำการผลิตสินค้าและอาหารเด็กในแดนมังกรเสียแล้ว เช่น บริษัทในเครือมีดจอห์นสัน นิวตริชั่น กรุ๊ป มีสัดส่วนในตลาดนมผงสำหรับเด็กในจีนมากสุดในปีที่ผ่านมาถึง 11.7 เปอร์เซ็นต์ ตามมาด้วยบริษัทดานอนของฝรั่งเศส ที่ 9.8 เปอร์เซ็นต์ ส่วนบริษัทของจีนอย่างบีอิ้งเมทกรุ๊ปมีสัดส่วน 9.2 เปอร์เซ็นต์ และอีลี่ 7.9 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ
อย่างน้อยสุดปีมังกร คงมีเด็กทารกบนแดนมังกรเพิ่มขึ้นอีก 5 เปอร์เซ็นต์ และแน่นอนว่าความต้องการสินค้าสำหรับเด็กก็จะเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว ไม่ว่าบริษัทจีนหรือต่างชาติต่างจัดแจงวาดปากเตรียมสวาปามเม็ดเงินมหาศาลที่กำลังจะพรั่งพรูเข้าสู่บริษัทของตนอย่างใจจดใจจ่อ