ไชน่าเดลี/จิงจี้ชานเข่าเป้า – กรมศุลกากรจีนเผยตัวเลขการค้าจีนทะลุหลัก 3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ คาดปีนี้น่าจะถึง 3.5 ล้านล้านเหรียญฯ แต่ยังมีความกังวลเรื่อง ภาวะศก.โลก-การกีดกันทางการค้า-ค่าเงินหยวนแข็ง ส่งผลให้แนวโน้มไม่สดใสอย่างที่คิด
เมื่อวันที่ 3 พ.ย. กรมศุลกากรจีน (GAC) ได้เปิดเผยตัวเลขการนำเข้าและส่งออกของจีนว่า จากการคำนวณเบื้องต้นพบว่าในปีนี้นับถึงวันที่ 2 พ.ย. สถิติมูลค่าการนำเข้าและส่งออกสินค้าและบริการของจีนได้พุ่งทะลุหลัก 3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว 90 ล้านล้านบาทแล้ว
จากการเผยแพร่ข้อมูลผ่านเว็บไซต์ www.customs.gov.cn ระบุว่าแม้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจโลกจะประสบกับภาวะผันผวนอย่างหนัก ทว่า สถานการณ์ด้านการค้าต่างประเทศของจีนก็ยังถือว่ามีอัตราการเติบโตที่มั่นคง โดยตัวเลขการนำเข้าและส่งออกของจีนทะลุหลัก 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2547 และทะลุหลัก 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ในอีก 3 ปีต่อมาหรือในปี 2550
กรมศุลกากรจีนระบุว่าในช่วง 3 ไตรมาสที่ผ่านมาของปี 2554 ตัวเลขการนำเข้าและส่งออกของจีนนั้นสูงถึง 2.677 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือเติบโตกว่าร้อยละ 24.6 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2553 โดยตัวเลขดังกล่าวแบ่งเป็น ตัวเลขการนำเข้า 1.285 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ (เติบโตร้อยละ 26.7) และตัวเลขการส่งออก 1.392 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ (เติบโตร้อยละ 22.7) ส่งผลให้จีนเกินดุลการค้าอยู่ราว 1.07 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ
นายหลี่ว์ เผยจวิน รองอธิบดีกรมศุลกากรจีนได้เปิดเผยว่า ปัจจุบันจีนถือเป็นประเทศส่งออกที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นประเทศนำเข้าอันดับ 2 ของโลกรองจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งแนวโน้มการเติบโตก็เป็นไปอย่างมั่นคง โดยคาดการณ์ว่าในปี 2554 นี้ตัวเลขการค้าของจีนโดยรวมน่าจะทะลุ 3.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญส่วนหนึ่งได้ทักท้วงว่าแม้แนวโน้มการเจริญเติบโตของการค้าของจีนนั้นจะดูสดใส แต่เมื่อพิจารณาจากปัจจัยทางเศรษฐกิจทั้งในและนอกประเทศแล้วพบว่ามีความไม่แน่นอนอยู่มาก ประการแรกคือ การเติบโตของเศรษฐกิจโลกอยู่ในภาวะชะลอดตัว ขณะเดียวกันก็มีความกังวลถึงสถานการณ์แนวคิดเรื่องการกีดกันทางการค้าเริ่มจะขยายตัวในประเทศพัฒนาแล้ว ทั้งในสหรัฐฯ และในยุโรป ส่งผลให้สภาพแวดล้อมทางการค้าของโลกมีความซับซ้อนขึ้น นอกจากนี้เมื่อพิจารณาจากอัตราแลกเปลี่ยนของเงินหยวนที่นับวันจะแข็งค่าขึ้น ส่งผลให้การส่งออกของจีนมีแรงกดดันเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว และย่อมส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจขององค์กรธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมค่อนข้างมาก