รอยเตอร์/ เอเอฟพี - เพนตากอนเผยรายงานฯ วานนี้ (24 ส.ค.) ว่า การที่จีนเปิดฉากดันพัฒนากองทัพสมัยใหม่เร็วปานสายฟ้าแลบภายในปี 2563 อาจทำลายเสถียรภาพภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกได้ ขณะที่สำนักข่าวกระบอกเสียงรัฐบาลจีนโต้ (25 ส.ค.) “เพนตากอนกำลังแทรกแซงกิจการภายในและบิดเบือนความจริง”
ด้วยเศรษฐกิจที่ขยายตัวรวดเร็ว ส่งผลให้การทหารจีนก้าวหน้าขึ้นมาก เพียง 10 ปีที่ผ่านมาก็สามารถก้าวล้ำไปไกลเกินกว่าที่นักวิเคราะห์มะกันเคยทำนายไว้ ทั้งโครงการเรือบรรทุกอากาศยาน ศักยภาพในการทำสงครามไซเบอร์ และขีปนาวุธทำลายดาวเทียมฯ สิ่งเหล่านี้เป็นเสมือนสัญญาณเตือนให้ประเทศเพื่อนบ้านและสหรัฐฯ ต้องพิจารณาเรื่องความมั่นคงกันใหม่
ผู้สังเกตการณ์ด้านจีน และสมาชิกสภาคองเกรสของสหรัฐฯ บางคนเผยว่า “ขณะที่จีนเพิ่มงบประมาณพัฒนาการทหารเชิงรุก สหรัฐฯกลับมีแผนตัดค่าใช้จ่ายการทหารลง”
โฮเวิร์ด แม็กคอยน์ ประธานคณะกรรมาธิการกองทัพสหรัฐฯ เผยว่า “จีนมีความเชื่อว่า จะได้ประโยชน์จากวิกฤติการณ์การเงินโลก” พร้อมเสริมว่า “ทหารสหรัฐฯ ที่ประจำในแปซิฟิกก็จะต้องลดจำนวนลงเนื่องจากสหรัฐฯ กำลังปรับลดงบประมาณกลาโหมฯ”
กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เผยรายงานประเมินประจำปีต่อคองเกรส โดยเสนอปัญหาน่าวิตกหลัก ๆ ทั้งหมด เกี่ยวกับการขยายตัวอย่างแข็งแกร่งของทัพฯจีน รวมทั้งกรณีที่จีนรุกคืบเข้าสู่ไต้หวัน พร้อมย้ำประเด็นโจมตีทางไซเบอร์ในปี 2553 ที่คอมพิวเตอร์ของรัฐบาลสหรัฐฯ ถูกโจมตี ซึ่งตรวจพบว่าฐานการโจมตีมาจากแผ่นดินจีน
ไมเคิล ชีฟเฟอร์ ผู้ช่วยเลขาธิการกลาโหมสหรัฐฯ เผยว่า “พวกเรากังวลเรื่องการโจมตีทางซเบอร์ และหากเป็นไปได้เราก็ต้องการทำงานร่วมกับจีนเพื่อตรวจสอบเรื่องนี้”
รายงานเพนตากอนประจำปี 2553 นี้ฯ ระบุว่า “โครงการพัฒนากองทัพสมัยใหม่ของจีน ได้เผยงบฯการใช้จ่ายอย่างชัดเจน และระบุถึงปฏิบัติการสร้างขีปนาวุธยิงเรือบรรทุกเครื่องบิน ที่ยังคงเดินหน้าไปพร้อม ๆ กับโครงการเรือบรรทุกอากาศยาน ตลอดจนการบรรลุโครงการสร้างเครื่องบินขับไล่ เจ 20 ลำแรกของจีน”
รายงานระบุต่อว่า “โครงการ เจ 20 จะไม่ประสบความสำเร็จหรือมีศักยภาพเต็มในการปฏิบัติการจนกว่าจะถึงปี 2561”
“แม้ในหลายพื้นที่ของจีนจะขาดเครื่องไม้เครื่องมือและประสบการณ์ทางการทหาร แต่การพัฒนากองทัพสมัยใหม่ของกองทัพปลดแอกประชาชนจีน ก็จะกลบช่องว่างนั้นได้จนหมด” รายงานฯ เสริม
ทำลายเสถียรภาพ “อย่างไร”
“การสร้างกองทัพสมัยใหม่อาจทำลายเสถียรภาพในภูมิภาค” ชิฟเฟอร์กล่าว พร้อมเรียกร้องให้กองทัพฯจีน เปิดกว้างและร่วมเจรจาทางทหารกับสหรัฐฯ มากขึ้น โดยระบุว่า “การพัฒนากองทัพจีนด้วยเงินลงทุนสูงจะทำให้มีศักยภาพมาก พวกเราเชื่อว่า จะส่งผลกระทบต่อสมดุลและเสถียรภาพทางการทหารในภูมิภาคอย่างแน่นอน”
เพนตากอนเผยว่า อย่างไรก็ตามแม้ว่าจีนจะเริ่มพัฒนาศักยภาพทางทหารเต็มรูป แต่จีนก็ยังไม่สามารถขยายกำลังทัพของตนไปยังต่างแดนได้ก่อนปี 2563 อย่างไรเสียก็ปฏิบัติการได้แต่แถบชายฝั่งไม่ไกลจากแผ่นดินใหญ่เท่านั้น
ลักษณะการขยายอิทธิพลเช่นนี้ เป็นเหมือนเมื่อหลายทศวรรษก่อนที่สหรัฐฯก็ขยายกำลังของตนรุกเข้ามาในแปซิฟิก
โครงการทางทหารหนึ่งที่จะช่วยขยายแสนยานุภาพทางทหารได้ก็คือ “การใช้เรือบรรทุกอากาศยาน” ทั้งนี้จีนได้ปล่อยเรือฯ ลำแรกของตน (เป็นเรือเก่าจากโซเวียตรุ่นวาร์ยัก) ออกทะเลแล้วเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ชิฟเฟอร์เชื่อว่า จีนกำลังทำงานเพื่อสร้างเรือบรรทุกอากาศยานของตนเอง กอปรกับแหล่งข่าวฯ กระซิบกับรอยเตอร์ว่า “ขณะนี้จีนกำลังสร้างเรือบรรทุกอากาศยานอีก 2 ลำ”
อย่างไรก็ตาม รายงานฯ ระบุว่า “หากจีนเพิ่งเริ่มสร้างเรือบรรทุกอากาศยานของตนเองในขณะนี้ ไม่อาจสำเร็จอย่างน้อยก็คงต้องรอไปถึงปี 2558
ปัญหาสัมพันธ์ทางการทหารระหว่างจีน-สหรัฐฯ ก็คือ การที่กองทัพปลดแอกประชาชนระงับสัมพันธ์กับสหรัฐฯ เนื่องจากขายอาวุธให้แก่ไต้หวัน จีนเตือนว่า “หากสหรัฐฯไม่ยุติการขายอาวุธให้กับไต้หวัน ก็จะกระทบความสัมพันธ์ลึกลงไปอีก”
ขณะที่ชิฟเฟอร์ชี้ว่า สหรัฐฯ ยังไม่ตัดสินใจว่าจะขายอาวุธให้กับไต้หวันระลอกใหม่
ฝั่งจีนโต้ “เพนตากอนแทรกแซงและบิดเบือนความจริง”
ฝ่ายสำนักข่าวซินหวาของจีนก็ออกมาตอบโต้ (25 ส.ค.) ว่า “รายงานของเพนตากอนนั้นเป็นการแทกแซง และบิดเบือนความจริง”
“รายงาน 94 หน้าของเพนตากอนนั้น ถือเป็นการแทรกแซงเนื่องจากเข้ามายุ่งเกี่ยวกิจการภายในระหว่างจีนและไต้หวัน” ซินหวาระบุ
ขณะที่โฆษกสถานทูตจีนประจำกรุงวอชิงตัน เผยว่า รายงานฉบับนี้เป็นผลมาจากความคิดคลั่งสงคราม ที่ตกทอดมาจากยุคสงครามเย็น และเป็นเครื่องมือสำคัญที่วาดภาพจีนให้น่ากลัว และทำให้จีนกลายเป็น “ภัยคุกคาม”
หวัง เป่าต้ง โฆษกสถานทูตจีนประจำวอชิงตัน ระบุทางอีเมลล์ ว่า “พวกเราหวังว่าสหรัฐฯจะมีปฏิบัติการที่เป็นรูปธรรมในการทำงานร่วมกับจีนเพื่อสร้างเสถียรภาพและความมั่นคงทางการทหาร โดยเคารพซึ่งกันและกัน เชื่อใจกัน และเพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน”