เอเยนซี - สำนักข่าวซินหวารายงานว่า เจ้าหน้าที่กระทรวงรถไฟจีนออกมาระบุว่า สาเหตุของการชนท้ายรถไฟความเร็วสูงที่เวินโจว เกิดจากระบบเตือนภัยไม่ทำงาน เนื่องจากระบบฯ ไม่ยอมเปลี่ยนไฟเขียวเป็นไฟแดง หลังจากถูกฟ้าผ่า ขณะที่นายกรัฐมนตรีจีนได้ฤกษ์ลงพื้นที่สำรวจความเสียหายวันนี้ (28 ก.ค.)
เมื่อค่ำวันเสาร์ (23 ก.ค.) ได้เกิดเหตุรถไฟความเร็วสูงเส้นทางปักกิ่ง-ฝูเจี้ยน พุ่งเข้าชนรถไฟฯ ขบวนหังโจว-ฝูโจวตกสะพาน ณ เมืองเวินโจว มณฑลเจ้อเจียง รัฐบาลเผยตัวเลขล่าสุดผู้เสียชีวิต 39 ราย บาดเจ็บเกือบ 200 คน
นายกรัฐมนตรีจีน เวิน จยาเป่า เดินทางลงพื้นที่อุบัติเหตุรถไฟเสยท้ายฯ ที่เวินโจวในวันนี้ (28 ก.ค.) ท่ามกลางกระแสโกรธเคืองและไม่ไว้วางใจระบบความปลอดภัยรถไฟจีนที่กำลังปะทุหนัก
ในเว็บบล็อกของจีน ชาวเน็ตตั้งคำถามเกี่ยวกับประเด็นการช่วยชีวิตคน นายกเวินฯ ตอบว่า เขาได้รับโทรศัพท์แล้วสั่งการลงไปด้วยคำพูด 2 พยางค์ว่า “ช่วยคน” แต่เหตุใดเจ้าหน้าที่ถึงเร่งเก็บกวาดโดยไม่ช่วยคนก็ไม่ทราบได้
เช้านี้ ณ รพ.เหรินหมินหมายเลข 2 เมืองเวินโจว มณฑลเจ้อเจียง นายกเวินได้เดินทางพบปะเยี่ยมเยียนผู้ประสบเหตุฯ โดยนายกเวินฯ ได้แถลงด้วยว่า เหตุที่มาล่าช้าเพราะป่วย 11 วันไม่สามารถมาได้ทันที ขณะที่ชาวเน็ตตั้งคำถามว่า “แล้วทำไม 11 วันที่ป่วยนี้เวินถึงได้ออกงานราชการอื่นได้ โดยมีภาพยืนยันชัดเจนบนเว็บไซต์รัฐบาลกลางว่านายกเวินได้พบปะกับคณะผู้แทนจากญี่ปุ่นในวันหลังเกิดอุบัติเหตุรถไฟฯชนกัน"
เวินลั่นว่า หากตรวจสอบพบว่าใครเป็นผู้รับผิดชอบต่อความผิดพลาดในครั้งนี้ จะลงโทษอย่างหนัก
ซินหวารายงานว่า นายกเวินจะได้ตรวจสอบอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นซึ่งถือว่าเลวร้ายสุดนับแต่ปี 2551 ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตตามรายงานของรัฐ 39 ราย บาดเจ็บอีกนับ 200
การเดินทางลงพื้นที่ของเวินในครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางฝุ่นควันแห่งความโกรธเกรี้ยวในการปฏิบัติงานของภาครัฐ ตัวเลขผู้ได้รับบาดเจ็บสูงถึง 200 นี้ถือว่ารุนแรงสุดนับแต่จีนมีรถไฟความเร็วสูง
ก่อนหน้านี้ (27 ก.ค.) นายกเวินฯ สั่งการให้มีการสืบสวนอย่าง “เปิดเผย และโปร่งใส” พร้อมลั่นว่า ผลการตรวจสอบจะต้องแจ้งให้ประชาชนรับรู้ เพราะรัฐบาลเองก็กำลังพยายามลดกระแสความโกรธเคืองของประชาชนอยู่
ในฐานะผู้นำระดับสูงของรัฐบาลจีน นายกเวินฯ ผู้โด่งดังในสายตาประชาชน ในที่สุดก็ได้ฤกษ์ลงพื้นที่ตรวจสอบความเสียหายจากภัยพินาศในครั้งนี้ฯ เสียที
ฟ้าผ่าเปรี้ยง! ไฟเขียวไม่ยอมแดง
ซินหวาเผยด้วยว่า กรมการรถไฟเซี่ยงไฮ้ได้สั่งให้ผู้ตรวจสอบค้นหาข้อผิดพลาดจากอุปกรณ์ในรถไฟให้ได้ ซึ่งข้อบกพร่องหลายประการเหล่านั้นได้ถูกตั้งเป็นคำถามหนาหู ที่รัฐยังไม่ให้คำตอบ
ในที่สุด อัน ลู่เซิ่ง หัวหน้ากรมการรถไฟเซี่ยงไฮ้ก็เผยกับประชาชนเป็นครั้งแรกว่า ระบบรถไฟที่จีนทำเองนี้มีความผิดพลาด “ระบบมันล้มเหลวเมื่อถูกฟ้าผ่า เพราะมันไม่ยอมเปลี่ยนไฟเขียวเป็นไฟแดง ณ จุดตัดรางรถไฟ”
บรรดาประชาชนผุดคำถามต่อประเด็นความปลอดภัยอย่างล้นหลาม ซึ่งส่วนใหญ่มองว่าจีนเร่งพัฒนาระบบเครือข่ายรถไฟความเร็วสูงภายใน 4 ปี นั้นเร็วเกินไป
เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกรมการรถไฟถูกไล่ออกจำนวน 3 คน และปักกิ่งสั่งยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยรถไฟจีนเป็นขั้น “ฉุกเฉิน” เพื่อกู้สถานการณ์ แต่นั่นก็ยังถือว่าน้อยนิดและไม่เพียงพอที่จะลดโทสะของสาธารณะและสื่อมวลชนได้
ความขุ่นเคืองใจต่ออุบัติเหตุครั้งนี้ทวีความรุนแรงในช่วงหลายวันนี้ โดยพวกเขากล่าวว่า รัฐบาลพยายามปกปิดหลักฐานด้วยการรีบฝังซากรถไฟฯ ฝ่ายทางรัฐบาลก็ออกมาแก้ต่างว่า ที่รีบจัดการฝังกลบก็เพื่อช่วยให้กู้ภัยทำงานสะดวกขึ้น
ชาวเน็ตจีนหลายพันคนได้โพสต์ข้อความในเว็บบล็อก เรียกร้องคำตอบว่าทำไมผู้ควบคุมรถไฟขบวนที่สองจึงไม่ได้รับคำสั่งให้หยุดรถไฟทันท่วงที นอกจากนั้นพวกเขายังถามว่า ยอดผู้เสียชีวิตควรจะสูงกว่าที่รัฐบาลเปิดเผย
ญาติพี่น้องของเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย รวมทั้งชาวอเมริกันและชาวอิตาเลียนที่เสียชีวิต ปฏิเสธรับเงินชดเชย พวกเขาต้องการเพียงคำตอบที่ตรงไปตรงมาของรัฐบาลเท่านั้น
สื่อจีนถูกสั่งให้หยุดตั้งคำถามต่อรัฐบาลเกี่ยวกับอุบัติเหตุในครั้งนี้ แต่หนังสือพิมพ์หลายฉบับก็มิวายวิจารณ์กระทรวงรถไฟอย่างรุนแรงในคอลัมน์บรรณาธิการ
แม้สำนักข่าวโกลบอลไทม์สกระบอกเสียงของพรรคคอมมิวนิสต์เองยังเปรียบเปรยวิธีคิดแบบ “ระบบราชการ” ของเจ้าหน้าที่จีน กับ “ระบอบประชาธิปไตยเพื่อสาธารณะ” ว่ารัฐบาลจีนคุ้นเคยแต่การขุดเรื่องอดีตมาชื่นชมเวลาเจอวิกฤติ และก็เชื่อฝังหัวว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยระเบียบวิธีแบบราชการแบบเก่า ซึ่งปัจจุบันคนจีนมิอาจรับวิธีคิดเช่นนี้ได้อีกแล้ว
ฝ่ายบริษัทและสถาบันออกแบบรถไฟที่ประสบอุบัติเหตุ (Beijing National Railway Research and Design Institute of Signal and Communication Company) ก็ออกมาขอโทษในวันนี้ ว่า “พวกเขาขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่ออุบัติเหตุดังกล่าว”
“พวกเราจะยกเครื่องมาตรฐานทั้งหมดเพื่อให้มั่นใจได้ว่าสินค้าของเราปลอดภัยและเชื่อถือได้” แถลงการณ์เผย