xs
xsm
sm
md
lg

มังกร-อาเซียน ตาเป็นมัน หวังเปิบกำไรธุรกิจผ่าน "PBG"

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

คุณบัณฑูร ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการธนาคารกสิกรไทยกล่าวต้อนรับ
เอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์ - “ยุทธศาสตร์การทำธุรกิจในโลกเสรีนิยมที่กำหนดให้ทุกสิ่งเป็นไปตามกลไกตลาด ทำให้ตัวแสดงในระบบต้องกระตือรือร้นอยู่ตลอดเวลา มิเช่นนั้นก็มิอาจอยู่แถวหน้าของขบวนรถไฟโลกาภิวัตน์ได้ ตัวแสดงอันได้แก่หน่วยงานหรือบริษัทใดที่อืดอาดจะถูกกลืนกินและล้มหายตายจากไปในที่สุด ดังภาษิต ปลาใหญ่ กินปลาเล็ก แต่... เมื่อผ่านไปอีกสมัย ขนาดใหญ่หรือเล็กไม่สำคัญอีกต่อไป โลกทุนนิยมกลับให้ความสำคัญกับความรวดเร็ว กลายเป็นปลาเร็ว กินปลาช้า และ... ทุกวันนี้ ปลาเร็วก็กินปลาใหญ่ด้วย”

หลายบรรษัทจึงมิอาจเป็นปลาช้าหรือปลาใหญ่ที่อืดอาดได้อีกต่อไป การจะเป็นปลาเร็วเท่ากับต้องขวนขวายตนเองให้ทันต่อโลกแห่งการพัฒนา เมื่อวันที่ 23 พ.ค. 2554 ธนาคารกสิกรไทย ร่วมกับ เดอะเนชั่น และหนังสือพิมพ์ไชน่าเดลี จึงได้จัดสัมมนา หัวเรื่อง "ถอดรหัสแผนพัฒน์ฯ จีน ฉบับที่ 12: สู่กลุ่มอนุภูมภาคใหม่ PBG" ณ โรงแรมพลาซา แอทธินี ถนนวิทยุ กรุงเทพมหานคร เพื่อนำเสนอยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจของจีนต่อภูมิภาคอาเซียนภายใต้กรอบความร่วมมือเศรษฐกิจใหม่ที่จีนเป็นผู้ริเริ่มเมื่อปี 2550 ได้แก่ ความร่วมมือทางเศรษฐกิจรอบอ่าวเป่ยปู้ หรืออ่าวตังเกี๋ย (Pan-Beipu Gulf Economic Cooperation: PBG) เพื่อเปิดมิติด้านการลงทุนและความร่วมมือระหว่างนักธุรกิจในอาเซียน โดยเฉพาะไทยกับพญามังกรจีน

จีนยังได้กำหนดการผลักดันความร่วมมือกับอาเชียนในกรอบ PBG นี้ เป็นภารกิจใหญ่อันหนึ่งในการดำเนินแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12 (พ.ศ.2554-2558) และการจัดสัมมนาฯนี้ ยังมีจุดประสงค์ใหญ่เพื่อเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับแผนพัฒน์ฯจีนฉบับปัจจุบัน ที่ชาวโลกต่างจับตามองเนื่องจากว่าแผนพัฒนาฯ ฉบับนี้จะพลิกโฉมหน้าจีนอย่างสำคัญ เพื่อสร้างความสอดประสานของแผนพัฒน์ฯไทย-จีน

มุมกว้างแผนพัฒน์ฯจีน ฉบับ 12 กับกรอบความร่วมมือใหม่รอบอ่าวตังเกี๋ย

คุณบัณฑูร ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการธนาคารกสิกรไทยกล่าวต้อนรับและเกริ่นนำช่วงปฐมทัศน์การสัมมนา ชี้หัวใจของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของจีน ระยะ 5 ปี ฉบับที่ 12 ที่รัฐบาลจีนได้อนุมัติไปเมื่อเดือนม.ค.ที่ผ่านมา อันมีหลักใหญ่ใจความ 3 ด้าน ได้แก่การปรับสมดุลระหว่างภาคตะวันออกกับภาคตะวันตกของจีน การพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนจีน และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

เป้าหมายของการจัดสัมมนาฯ เพื่อสร้างความเข้าใจทิศทางเศรษฐกิจจีน เพิ่มโอกาสทางค้าการลงทุนระหว่างไทย-จีน เปิดโอกาสให้นักธุรกิจไทยได้ศึกษาข้อมูลเพื่อมุ่งสู่จีนมากขึ้น และเพื่อเรียนรู้แผนพัฒนาฯ ฉบับปัจจุบันของจีน ซึ่งเน้นการพัฒนาเชิงคุณภาพ กระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม เน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมพลังงาน และมุ่งกระชับสัมพันธ์การค้าการลงทุนกับอาเซียนด้วย
นายหลี่ จี๋ผิง รองประธานคณะกรรมการบริหารของธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งจีน
นายหลี่ จี๋ผิง รองประธานคณะกรรมการบริหารของธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งจีน ชี้ว่า ในแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 ของจีน มีการเปลี่ยนรูปแบบการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน รับประกันความเป็นอยู่ของประชาชน และส่งเสริมความสมานฉันท์ พร้อมชี้ว่า จีนจะร่วมมือกับประเทศรอบข้างด้วย ปัจจุบันโครงสร้างเศรษฐกิจโลกกำลังปรับตัว รวมเป็นหนึ่งเดียว พึ่งพาอาศัย แสวงหาและขยายประโยชน์ร่วมกัน ดังนั้น กรอบความร่วมมือ PBG ภายใต้แผนพัฒนาฯ ฉบับ 12 นี้ จึงเป็นการเปิดหน้าต่างใหม่ทางการค้าและการลงทุนแก่อาเซียนมากขึ้น

หลี่แนะว่า แต่ละประเทศควรสนับสนุน ขยายเงินกู้ส่งเสริมสาธารณูปโภคพื้นฐาน เช่น รถไฟ พลังงาน การเกษตร อุปกรณ์ไฮเทค ธุรกิจทั้งขนาดเล็กและขนาดกลาง พร้อมผลักดันให้ใช้สกุลเงินท้องถิ่นในการสรุปบัญชี เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน และลดการพึ่งพิงสกุลเงินฝ่ายที่สาม ในส่วนของจีนนั้น ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งจีน (China Development Bank-CDB) ได้ปล่อยกู้เป็นเงินหยวนให้แก่บางประเทศในอาเซียน มูลค่าถึง 22,500 ล้านหยวนแล้ว

นอกจากนี้ธนาคารกสิกรไทยเป็นธนาคารไทยแห่งแรกที่สรุปบัญชีด้วยสกุลเงินหยวน และเป็นธนาคารตัวแทนเพียงแห่งเดียวจากประเทศไทย ที่ได้รับเชิญจากซีดีบี เข้าเป็นสมาชิกสมาคมธนาคารนานาชาติจีน-อาเซียน China-ASEAN Inter-Bank Association (CAIBA) เพื่อร่วมพัฒนาโครงการความร่วมมือจีน-อาเซียน

นอกจากนั้นรัฐบาลควรส่งเสริมการสร้างนวัตกรรมทางการเงิน โดยเพิ่มการศึกษาตลาดและบรรยากาศทางการเงินของประเทศต่างๆ และสุดท้ายควรเพิ่มความร่วมมือด้านข้อมูลข่าวสาร พร้อมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระหว่างกัน

คลิ๊กอ่านหน้า 2

นาย สี่ว์ หนิงหนิง เลขาธิการคณะกรรมการบริหารแห่งสภาธุรกิจจีน-อาเซียน
นาย สี่ว์ หนิงหนิง เลขาธิการคณะกรรมการบริหารแห่งสภาธุรกิจจีน-อาเซียน ชี้ต่อว่า แผนพัฒนาฯ ฉบับ 12 ของจีน จะให้ความสำคัญต่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้ากับอาเซียนให้มากขึ้น โดยอ้างถึงคำพูดของนายกรัฐมนตรีเวิน จยาเป่าของจีนว่า “จีนจะแสวงหาความร่วมมือ รูปแบบการพัฒนาอนุภูมิภาค PBG” การค้าระหว่างจีนและกลุ่มสมาชิกชาติอาเซียนนับวันขยายใหญ่ โดยปีนี้มูลค่าการค้าจีน-อาเซียนสูงเป็นประวัติการณ์ ที่มูลค่าเกือบสามแสนล้านเหรียญสหรัฐ และคาดว่าจะสูงขึ้นเป็นห้าแสนล้านเหรียญสหรัฐในปี 2558 ขณะนี้มณฑลกว่างตง (กวางตุ้ง) มีการค้ากับอาเซียนมากสุดคิดเป็น 1 ใน 3 ของมูลค่าทั้งหมด และมณฑลไห่หนาน (ไหหลำ) ก็ร่วมมือด้านการท่องเที่ยวกับอาเซียนด้วย เป็นต้น

นอกจากแผนพัฒน์ฯฉบับที่ 12 ของรัฐบาลกลางแล้ว มณฑลต่างๆก็มีการจัดทำแผนพัฒน์ฯฉบับที่ 12 ของตัวเอง และส่วนใหญ่ได้กำหนดการขยายความร่วมมือกับอาเซียน ขณะนี้แต่ละมณฑลกำลังค้นหาความร่วมมือกับอาเชียนทั้ง 10 ชาติ จนเรียกได้ว่าเป็นแฟชั่นของแผนพัมน์ฯจีน อาทิ ไห่หนันกำลังหาทิศทางพัฒนาความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวในอาเซียน ฝูเจี้ยนก็กำลังหาช่องทางในกรอบการค้าเสรีจีน-อาเซียน ขณะที่เจ้อเจียงและปักกิ่งก็กำลังค้นหารูปแบบความร่วมมือในอาเซียนด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้ มณฑลในจีนที่ได้ขยายความร่วมมือกับอาเชียน อาทิ เหอหนานมณฑลใหญ่ที่อยู่ใจกลางประเทศจีน มีประชากรถึง 100 ล้านคน ก็มีกิจการร่วมทุนกับชาติอาเซียน ในปีที่แล้วมีวิสาหกิจอาเซียนในเหอหนานถึงกว่า 500 ราย และในปลายเดือนหน้า (มิ.ย.) ก็จะจัดการประชุมประสานงานทางการค้าสำหรับวิสาหกิจอาเซียนที่เจิ้งโจว เมืองเอกของมณฑลเหอหนาน ส่วนอวิ๋นหนาน (ยูนนาน) ซึ่งมีข้อได้เปรียบที่พรมแดนติดกับชาติอาเซียน ก็ยังคงผลักดันความร่วมมือกับอาเซียน ผ่านกรอบความร่วมมืออนุภูมิภาคแม่น้ำโขง หรือGMS (Greater Mekong Subregion) และกว่างซีซึ่งเป็นประตูสู่อาเซียนของจีนและมีทางออกทะเล นอกจากงานแสดงสินค้าจีน-อาเซียน ซึ่งจัดทุกปีที่นครหนานหนิง และมีโครงการเชื่อมโยงกับอาเซียนในกรอบของGMSแล้ว ยังกำลังค้นหาโครงการร่วมมือในกรอบของ PBG อีกด้วย

จีนตั้งเป้าให้แผนพัฒน์ฯ นี้ลุล่วงภายในปี 2558 โดยมุ่งสร้างความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการระหว่างจีน-อาเซียน และยกเลิกภาษีการนำเข้าสินค้า สี่ว์แนะนำให้นักธุรกิจในอาเซียนมุ่งมาลงทุนในจีน ขณะเดียวกันนักธุรกิจไทยก็ควรจะดึงนักธุรกิจจีนมาลงทุนในไทยด้วย เป็นการแลกเปลี่ยน

แผนพัฒน์ฯจีนฉบับ 12 ในมุมมองไทย

การเสวนาในช่วงที่ 1 หลังจากจบปาฐกถา คุณวีณารัตน์ เลาหภคกุล ผู้ดำเนินรายการได้แนะนำวิทยากร 2 ท่าน ได้แก่ ผศ.ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และคุณอาคม เติมพิทยาไพสิฐ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คุณวีณารัตน์เชื้อเชิญให้ดร.อักษรศรีแนะนำให้ผู้ฟังรู้จักแผนพัฒน์ฯจีนฉบับ 12 ที่หลายคนเห็นว่า เป็นแผนที่เปลี่ยนมังกรแดง ให้เป็นมังกรเขียวผู้รักษ์สิ่งแวดล้อม
คุณวีณารัตน์ เลาหภคกุล ผู้ดำเนินรายการ (ซ้าย) ผศ.ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์  มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (กลาง) และคุณอาคม เติมพิทยาไพสิฐ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (ขวา)
ดร.อักษรศรีเกริ่นว่า “แผนพัฒน์ฯฉบับ 12 นี้ใช้เวลาในการร่าง 2 ปีกว่า โดยเน้นไปสู่การพัฒนาภูมิภาคให้เกิดความเท่าเทียม ปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม จากการผลิตแบบเน้นแรงงานเข้มข้นมาสู่การผลิตแบบเน้นองค์ความรู้มากขึ้น กระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ เนื่องจากแม้ว่าประเทศจีนจะเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับ 2 แต่ก็ยังห่างไกลจากมหาอำนาจสหรัฐฯผู้ครองแชมป์ และหากคิดรายได้เฉลี่ยต่อหัวแล้วจีนถือว่าประชากรยังมีรายได้น้อยมาก พอ ๆ กับประเทศด้อยพัฒนาเลยทีเดียว”

“ทั้งนี้เป้าหมายของแผนพัฒน์ฯฉบับ 12 มีจุดเน้นอยู่ 3 ประการหลัก ๆ นั่นก็คือ การปรับสมดุลทางเศรษฐกิจ ด้านสังคม และด้านสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตามจีนยังได้กำหนดยุทธศาสตร์อุตสาหกรรมใหม่ด้วย อาทิ การทำไบโอพลาสติก พลังงานทางเลือก ชานอ้อยฯ นอกจากนั้นจีนก็พร้อมจะปรับยุทธศาสตร์มาสู่ภาคบริการมากขึ้น” ดร.อักษรศรี กล่าว

ทางด้านคุณอาคม ผู้สะท้อนเสียงจากภาครัฐบาลไทยเห็นว่า “แม้ว่าแผนพัฒน์ฯฉบับ 12 จะมุ่งไปสู่สิ่งแวดล้อมและทางเลือกต่าง ๆ มากขึ้นแต่ปัญหาหนึ่งก็คือ ความเหลื่อมล้ำภายในสังคมจีนเอง คนรวยกับคนจนยังคงมีช่องว่างห่างกันมาก ดังนั้นรัฐบาลจีนก็คงต้องมุ่งแก้ปัญหาด้านความเหลื่อมล้ำตรงนี้ก่อน ถ้าหันมาดูไทย นักธุรกิจไทยก็พอมีโอกาสที่จะตะลุยจีนในด้านอาหาร การเกษตร อุตสาหกรรมสะอาด อุตสาหกรรมบริการ เป็นต้น ทั้งนี้เนื่องจากเป็นสิ่งที่ยังคงมีน้อยในประเทศจีน หากเรานำสิ่งที่มีน้อยไปลงทุนก็น่าจะประสบผลสำเร็จ”

ดร. อักษรศรี เพิ่มเติมว่า “เมื่อมีการนำแผนฯ 12 มาใช้ คนจีนก็จะมีรายได้มากขึ้น ดังนั้นธุรกิจหมวดอาหารของไทยน่าจะมีโอกาสมากขึ้น ไม่เฉพาะแต่ธุรกิจขนาดใหญ่เท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึง SME ขนาดกลางและขนาดย่อมด้วย”

“PBG” ความร่วมมือใหม่ที่มีจีนเป็นหัวเรือใหญ่

คุณวีณารัตน์ ตั้งประเด็นกลุ่มอนุภูมิภาคอ่าวเป่ยปู้ ดร.อักษรศรี อรรถาธิบายว่า “PBG เป็นกรอบความร่วมมือระหว่างจีนกับประเทศเพื่อนบ้านที่อยู่รายรอบอ่าวเป่ยปู้ หรืออ่าวตังเกี๋ย ในบริเวณทะเลจีนใต้ โดยในเดือนม.ค. 2550 นายกรัฐมนตรีเวิน จยาเป่าของจีน ได้นำแนวคิด PBG นี้เสนอในการประชุม ASEAN-China Summit ครั้งที่ 10 ณ เมืองเซบู ประเทศฟิลิปปินส์ ต่อมาในปี 2551 รัฐบาลกลางจีนก็ได้ยกแนวคิด PBG ขึ้นเป็นการพัฒนาระดับชาติ และในวันที่ 6 ส.ค. ปี 2552 รัฐบาลไทยก็เข้าร่วมกลุ่ม PBG อย่างเป็นทางการ (แบบหลวม ๆ) และร่วมเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมฯ ในปีนั้นด้วย ทั้งนี้ สามมณฑลหลักของจีนที่เข้าร่วม PBG ได้แก่ กว่างตง กว่างซี และไห่หนัน โดยมีมูลค่าการค้ากับอาเซียนสูงมาก”

คุณอาคมชี้ต่อทันทีว่า “หากการค้าตรงนี้เกิดขึ้น สิ่งสำคัญที่สุดคือ เครือข่ายการคมนาคมที่เชื่อมโยงและเครือข่ายโลจิสติกระหว่างจีนกับอาเซียน”

คลิ๊กอ่านหน้า 3


(ภาพบรรยายเส้นทางรถไฟ 2 สายตามแผนของจีน สายเดิม เริ่มต้นจากคุนหมิงและหนานหนิง มาเชื่อมกันที่ฮานอย ผ่านเวียดนามมาโฮจิมินห์ซิตี้ มาพนมเปญ ตัดเข้ากรุงเทพฯ เชื่อมภาคใต้ของไทยเข้ากับมาเลเซียและไปสิ้นสุดที่สิงคโปร์ ขณะที่อีกสายหนึ่งเป็นการย่นระยะทางโดยไม่ต้องไปอ้อมผ่านเวียดนามคือ เริ่มจากคุนหมิง มาเวียงจันทน์ของลาว เข้าหนองคายตัดมากรุงเทพ ผ่านภาคใต้ ทะลุมาเลเซียไปสิ้นสุดที่สิงคโปร์)

ปัญหาประการหนึ่งที่คุณอาคมทิ้งท้ายไว้ก็คือ เรามัวแต่สนใจเรื่องฮาร์ดแวร์ นั่นคือการสร้างตัวสะพาน เส้นทางเชื่อมโยงต่างๆ แต่เราไม่ได้พูดถึงซอฟต์แวร์ นั่นคือกฎระเบียบกติกา ตลอดจนข้อจำกัดต่างๆ จีนก็ไม่เคยพูดถึงประเด็นนี้ เช่น จำนวนรถบรรทุกที่จะผ่านด่านผ่านแดน เวลาเปิด-ปิดด่านผ่านแดน ซึ่งควรเปิดตลอด 24 ชั่วโมง เนื่องจากรถบรรทุกสินค้าที่ไปถึงด่านผ่านแดนตอนเย็นแล้วเกิดด่านปิดทำการ ก็สร้างความเสียหายและสูญเสียมากแก่สินค้าอย่างผักผลไม้ และหากการเชื่อมต่อทางการค้าเกิดขึ้นจริง ประเด็นนี้ควรต้องมาพิจารณาร่วมกันอย่างจริงจัง

ธุรกิจไทยจะไปจีน รุ่งหรือร่วง

สำหรับในช่วงที่ 2 เป็นการเสวนาทิศทางการเติบโตทางเศรษฐกิจจีนในมุมมองภาคเอกชน โดยคุณสุทธิชัย หยุ่น เป็นผู้ดำเนินรายการ วิทยากรได้แก่คุณธนากร เสรีบุรี รองประธานกรรมการ เครือเจริญโภคภัณฑ์ คุณไกรสินธุ์ วงศ์สุรไกร กรรมการบริหาร บริษัทโรงเส้นหมี่ชอเฮง จำกัด และคุณพิพิธ เอนกนิธิ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย

คุณธนากรชี้ว่า การไปคบค้าสมาคมกับจีน ต้องมี “กวนซี่” หรือการเชื่อมสัมพันธ์ต้องดี เมื่อก่อนเข้าไปทำธุรกิจในจีนไม่มีปัญหา ในช่วงทศวรรษ 80-90 คนที่เข้าไปทำธุรกิจส่วนใหญ่สำเร็จทุกราย เนื่องจากขณะนั้นจีนต้องการธุรกิจต่างชาติอย่างมาก พอตกมารุ่น 90-2000 ธุรกิจฝรั่งเริ่มเข้ามาเนื่องจากเชื่อแน่แล้วว่าจีนเปิดประเทศจริง และสุดท้ายรุ่น 2000-ปัจจุบันนี้น่ากลัวกว่าเดิมคือ คนจีนเองมุ่งออกไปทำธุรกิจต่างประเทศแล้ว การแข่งขันในจีนปัจจุบันสูงกว่าแต่ก่อนมากมายนัก มีคำกล่าวในวงการธุรกิจว่า ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ปลาเร็วกินปลาช้า แต่ขณะนี้ปลาเร็วจะกินปลาใหญ่แล้ว

“การจะไปทำธุรกิจในจีนสิ่งที่ไม่ควรทำคือ การมองจีนเป็นองค์รวม เราต้องมองเจาะทีละเมือง แต่ละสถานที่มีองค์ประกอบไม่เหมือนกัน เช่นวัฒนธรรม ค่านิยมฯ นอกจากนั้นเราต้องดูด้วยว่า สิ่งที่เราชำนาญจริง ๆ คืออะไร เราต้องระวังการผลิตของเรา ต้องใช้เทคโนโลยีที่ไม่สามารถเลียนแบบได้ เพราะจีนชื่อว่าเป็นเจ้าพ่อของการก็อปปี้ และสุดท้ายเราต้องมีเงินทุนเพียงพอ” คุณธนากรกล่าว
คุณสุทธิชัย หยุ่น ผู้ดำเนินรายการ คุณธนากร เสรีบุรี รองประธานกรรมการ เครือเจริญโภคภัณฑ์ คุณไกรสินธุ์ วงศ์สุรไกร กรรมการบริหาร บริษัทโรงเส้นหมี่ชอเฮง จำกัด และคุณพิพิธ เอนกนิธิ  รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย (ขวา-ซ้าย)
คุณไกรสินธุ์ เสริมว่า การเข้าไปจีนเราต้องมี “คุณภาพ” อย่าคิดไปแข่งเรื่องราคา เนื่องจากของถูกมีวางขายเพียบบนแผ่นดินจีนแล้ว แต่คนจีนยอมจ่ายแพงกว่าเพื่อให้ได้ของที่มีคุณภาพ สำหรับโอกาสของธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก หรือ SME ไทย ที่น่าเข้าไปลงทุนในจีน มีอาทิ ธุรกิจตัดผม จัดสวน ร้านอาหาร โรงพยาบาล โรงเรียนนานาชาติ และท่องเที่ยว

นอกจากนั้นคุณพิพิธเสริมว่า เราจะเข้าไปจีนก็ควรอ่านตำรา ดูทางหนีทีไล่ให้แน่ใจในภาคทฤษฎีเสียก่อน เมื่อเจอสถานการณ์จริงจะได้มีวิธีการรับมือ

คุณสุทธิชัย หยุ่น ตั้งประเด็น โอกาสในการทำธุรกิจ ว่า ธุรกิจไทยไปจีนจะรุ่งหรือร่วง คุณพิพิธแนะว่าให้พิจารณากลุ่มเมืองในจีน ซึ่งมีสามระดับ ระดับแรกได้แก่เมืองใหญ่ที่เจริญแล้ว ระดับสองได้แก่เมืองรอง อย่างเช่นเมืองเฉิงตู มณฑลเสฉวน ตงก่วน มณฑลกว่างตง และระดับที่ 3 คือเมืองที่มีแรงงานราคาถูกแต่ยังไม่เจริญ การพิจารณาระดับเมืองจะช่วยให้จับทิศทางเศรษฐกิจและกำหนดเป้าหมายในการลงรากฐานทางเศรษฐกิจได้ง่ายขึ้น

คุณธนากร ชี้ให้เห็นเพิ่มเติมว่า ในภาคกลางจีนยังมีอีกหกมณฑลที่น่าสนใจได้แก่ ซานซี หูหนาน หูเป่ย เหอหนาน อานฮุย เจียงซี ซึ่งมีพื้นที่เพียงร้อยละ 10 ของประเทศ แต่มีพลเมืองมาก เป็นตลาดขนาดใหญ่ และเมื่อจีนสร้างรถไฟความเร็วสูงสำเร็จ การเดินทางจึงไม่ใช่อุปสรรคอีกต่อไป โดยธุรกิจที่น่าสนใจมีอาทิ โรงแรม อสังหาริมทรัพย์ บริการ การผลิตฯ โดยสองมณฑลที่น่าสนใจมากเป็นพิเศษได้แก่ อานฮุย เพราะใกล้เซี่ยงไฮ้ และเหอหนานที่มีประชากรถึง 100 ล้านคน เป็นเมืองหลวงเก่าอันอุดมไปด้วยวัฒนธรรม

ทางด้านคุณพิพิธ ได้ชี้บทบาทของธนาคารกสิกรไทยในการสนับสนุนธุรกิจไทยในจีน โดยธนาคารฯ มีสาขาอยู่ทั้งฮ่องกง เซินเจิ้น โดยธนาคารฯ ได้พาร์ทเนอร์ที่ดี นั่นคือธนาคารหมิงเซิงของจีน ทำให้การรุกจีนประสบความสำเร็จ การมองหาคู่ค้าทางธุรกิจก็ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ คุณไกรสินธุ์ชี้ว่า เราจะเลือกคู่ค้าก็ต้องดูพฤติกรรมเขา เช่น จ่ายภาษีครบหรือไม่ ซื่อสัตย์กับงานของตนเองหรือไม่ ระบบการบริหารงานเป็นอย่างไร เป็นต้น
บรรยากาศและผู้เข้าร่วมการเสวนา ณ โรงแรมพลาซ่า แอทธินี ถนนวิทยุ กรุงเทพมหานคร
ในช่วงท้ายคุณธนากรชี้ว่า ในเมื่อจีนเปิดโอกาสให้อาเซียน ผ่านกรอบความร่วมมือ PBG เราควรรีบไขว่คว้าโอกาสนั้น และธุรกิจอาหารมีโอกาสไปรุ่ง คนจีนมีจำนวนมหาศาลกำลังบริโภคย่อมมากขึ้นทบทวี ขณะที่คุณพิพิธชี้ว่า ให้มองหาโอกาสใหม่ ๆ ดูว่าอะไรเป็นโอกาส หรืออะไรเป็นภัยคุกคามต้องแยกแยะให้ได้ และสุดท้ายคุณไกรสินธุ์เน้นให้ศึกษาข้อมูลให้ละเอียดก่อนการตัดสินใจอย่างถี่ถ้วนเพื่อความสำเร็จในการทำธุรกิจ ตามภาษิตที่ว่า “รู้เขารู้เรา รบร้อยชนะร้อย”
กำลังโหลดความคิดเห็น