เมื่อต้นเดือนมีนาคม ค.ศ. 2011 ที่ผ่านมา ได้เกิดความตึงเครียดในความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับฟิลิปปินส์ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง โดยทางการจีนได้กล่าวหาว่าฟิลิปปินส์นำเรือสำรวจแหล่งน้ำมันเข้ามาแล่นในน่านน้ำของจีนในทะเลจีนใต้ เจียงอวี๋ (姜瑜) โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีนได้ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 8 มีนาคม โดยเน้นย้ำว่าจีนมีอำนาจอธิปไตยเหนือหมู่เกาะในทะเลจีนใต้ทั้งหมด รวมทั้งยังได้เรียกร้องให้ฟิลิปปินส์ยุติการกระทำที่จะสร้างปัญหาต่อความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ
ปัญหาหมู่เกาะสแปรตลีย์ (The Spratly Islands) หรือหมู่เกาะหนานซา (南沙群岛) ในทะเลจีนใต้เป็นกรณีพิพาทระหว่างจีน ไต้หวัน เวียดนาม มาเลเซีย บรูไน และฟิลิปปินส์ โดยรัฐบาลจีนได้อ้างอำนาจอธิปไตยเหนือหมู่เกาะเหล่านี้มาตั้งแต่ ค.ศ. 1950 เอกสารของทางการจีนระบุว่า ชาวจีนรู้จักหมู่เกาะดังกล่าวตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออก (ค.ศ. 23 - ค.ศ. 220) และจีนเป็นประเทศแรกที่เข้าไปปกครองหมู่เกาะสแปรตลีย์อย่างเป็นกิจจะลักษณะในสมัยราชวงศ์หยวน (ค.ศ. 1279 - ค.ศ. 1368) นอกจากนี้แผนที่ของทางการจีนสมัยราชวงศ์ชิงที่เขียนขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1724, ค.ศ. 1755, ค.ศ. 1767, ค.ศ.1810 และ ค.ศ.1817 ล้วนแต่ระบุว่าหมู่เกาะแห่งนี้เป็นของจีน
จีนอ้างด้วยว่าอำนาจอธิปไตยของตนเหนือหมู่เกาะสแปรตลีย์ได้รับการรับรองในกฎหมายระหว่างประเทศและที่ประชุมระหว่างประเทศ อาทิ สนธิสัญญาสันติภาพซานฟรานซิสโกเมื่อ ค.ศ. 1951 ที่ประชุมองค์การการบินพลเรือนสากลเมื่อ ค.ศ. 1955 เป็นต้น และจีนก็ได้แสดงออกซึ่งการปกป้องอธิปไตยเหนือหมู่เกาะแห่งนี้อย่างเต็มที่จนถึงขั้นมีการใช้กำลังกับประเทศคู่กรณีมาแล้ว เช่น เวียดนามเมื่อ ค.ศ. 1988 และฟิลิปปินส์เมื่อ ค.ศ. 1995 เป็นต้น
แต่ในเวลาเดียวกัน จีนก็ต้องการบรรยากาศของ “สันติภาพและการพัฒนา” เพื่อเอื้อต่อการปฏิรูปเศรษฐกิจของตนเอง รวมทั้งลดความหวาดระแวงที่ประเทศคู่กรณีมีต่อจีน ด้วยเหตุนี้ในการประชุมอาเซียน ณ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน ค.ศ. 2002 จีนและประเทศสมาชิกอาเซียนได้ร่วมกันลงนามใน ปฏิญญาว่าด้วยแนวปฏิบัติในทะเลจีนใต้ (Declaration on the Conduct of Parties in the South China Sea) เพื่อแสดงออกถึงเจตนารมณ์ที่จะ “ส่งเสริมความเป็นเพื่อนบ้านที่ดีและความโปร่งใส สร้างความกลมเกลียว ความเข้าใจ และความร่วมมือซึ่งกันและกัน และอำนวยให้เกิดการแก้ไขข้อพิพาทระหว่างกันโดยสันติ”
แม้จะแสดงออกผ่านปฏิญญาดังกล่าวว่าต้องการแก้ไขข้อพิพาทโดยสันติวิธี หากแต่จีนก็ยังคงมีจุดยืนที่แข็งกร้าวและไม่ประนีประนอมในประเด็นเรื่องอธิปไตยอยู่เช่นเคย ดังเช่นเมื่อนายกรัฐมนตรีอับดุลละห์ อะห์มัด บาดาวี (Abdullah Ahmad Badawi) ของมาเลเซียเดินทางไปยังแนวหินโสโครกต้านหวาน (弹丸礁) ในหมู่เกาะสแปรตลีย์เมื่อวันที่ 5 มีนาคม ค.ศ. 2009 โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีนก็ได้ออกมาแถลงว่าจีนมี “อำนาจอธิปไตยที่ไม่อาจโต้แย้งได้” (indisputable sovereignty) เหนือหมู่เกาะแห่งนี้
ในเดือนพฤษภาคมของปีเดียวกัน จีนได้ตอบโต้เช่นนี้อีกครั้งเมื่อเวียดนามต้องการขยายไหล่ทวีปออกไปเกิน 200 ไมล์ทะเล ข้อเขียนของบรรณาธิการ ประชาชนรายวัน ฉบับออนไลน์ วันที่ 15 พฤษภาคม ค.ศ. 2009 ถึงกับระบุว่า “จีนจะไม่ประนีประนอมในเรื่องอำนาจอธิปไตยเหนือหมู่เกาะในทะเลจีนใต้และน่านน้ำต่อเนื่อง ถึงแม้จีนจะยังคงต้องการอยู่ร่วมกันอย่างสันติกับประเทศเพื่อนบ้านก็ตาม”
คำกล่าวข้างต้นสะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้งในตัวเองของท่าทีที่จีนมีต่อปัญหาหมู่เกาะสแปรตลีย์ เพราะในทางหนึ่ง จีนทราบดีว่าปัญหาดังกล่าวเป็นเรื่องของการอ้างอำนาจอธิปไตยที่ทับซ้อนกันของหลายประเทศ และจีนได้แสดงออกว่าต้องการแก้ไขปัญหานี้โดยสันติผ่านการเจรจา แต่ในอีกทางหนึ่ง จีนกลับต้องการให้ประเทศคู่กรณียอมรับอำนาจอธิปไตยของจีนเหนือหมู่เกาะแห่งนี้โดยไม่โต้แย้ง
ท่าทีอันกำกวมของจีนเช่นนี้ทำให้ประเทศคู่กรณีไม่อาจคลายความกังวลลงไปได้ ดังที่โมฮาเม็ด จาวาร์ ฮัสซัน (Mohamed Jawhar Hassan) ประธานสถาบันยุทธศาสตร์และนานาชาติศึกษา (The Institute of Strategic and International Studies) ซึ่งเป็นหน่วยงานคลังสมองของมาเลเซียได้ให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร Beijing Review เมื่อเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2009 ว่า ปัญหาใหญ่ปัญหาเดียวในความสัมพันธ์ระหว่างมาเลเซียกับจีนก็คือ ปัญหาหมู่เกาะในทะเลจีนใต้ ซึ่งควรได้รับการแก้ไขโดยเร็ว แสดงให้เห็นว่าอย่างน้อยในทัศนะของผู้ที่ติดตามประเด็นปัญหาระหว่างประเทศของมาเลเซีย การลงนามในปฏิญญา ค.ศ. 2002 มิได้ช่วยลดความกังวลที่ประเทศคู่กรณีมีต่อจีนแต่อย่างใด
ตราบใดที่จีนยังคงมีจุดยืนในลักษณะเช่นนี้ ตราบนั้นประเทศคู่กรณีก็จะยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับท่าทีของจีนอยู่ต่อไป การที่จีนเน้นย้ำต่อนานาประเทศอยู่เสมอว่าตนเองจะ “ทะยานขึ้นอย่างสันติ” (和平崛起) จึงอาจเป็นแค่เพียง “ถุงมือกำมะหยี่” อันอ่อนนุ่มที่ห่อหุ้ม “หมัดเหล็ก” อันแข็งกร้าวภายในของจีนเอาไว้ก็เป็นได้