เอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์ - นึกถึงวัดเส้าหลิน หลายคนก็คงจินตนาการได้ว่าเป็นอารามทางพุทธศาสนาอันเลื่องชื่อด้านกังฟู ผู้เผยแพร่ศาสตร์และศิลป์แห่งการต่อสู้แบบฉบับจีนที่ประสานความแข็งแรงทางกายเข้ากับหลักเมตตาธรรม ท่วงท่าการร่ายรำกังฟูแข็งแกร่งดุจภูผา ทว่าเปี่ยมด้วยเมตตาจิตจากภายใน ยกระดับธรรมะในใจให้ก้าวไปพร้อม ๆ กับการย่างก้าว หรือหวดพลอง
แต่เมื่อไม่นานมานี้ เพิ่งมีข่าวว่า เจ้าอาวาสวัดเส้าหลินเล็งเพิ่มกำไรด้วยการขยายสาขาการสอนมวยกังฟูไปทั่วโลก ทั้งในยุโรปและสหรัฐฯ รวมกว่า 40 แห่ง ทั้งนี้รากฐานก็มาจากพื้นภูมิของท่านสมภารที่จบเอ็มบีเอ หรือปริญญาโทบริหารธุรกิจภาคอินเตอร์นั่นเอง
แน่นอนว่าการผงาดของจีนต้องใช้ยุทธศาสตร์ทั้งไม้แข็งและไม้อ่อน ไม้แข็งนั้นย่อมเป็นการแสดงกำลัง ไม่ว่าจะเป็นการสะสมอาวุธ ความไม่ยินยอมหรือดื้อด้านในการแก้ไขวิกฤติระหว่างประเทศ กรณีพิพาทต่าง ๆ การใช้กำลังรบ เป็นต้น จีนใช้ไม้แข็งก็เพื่อบอกให้รู้ว่า พญามังกรจีนตื่นจากหลับใหลแล้ว ใครหาญกล้ามาท้าทายอำนาจต้องเจอดีเป็นแน่
ทว่าการขึ้นสู่วิถีมหาอำนาจไม่อาจใช้ไม้แข็งเพียงอย่างเดียว เพราะมังกรจีนคงไม่อยากมีศัตรูรอบด้าน จึงต้องใช้ไม้นวมเพื่อสร้างพันธมิตร และการสร้างพันธมิตรที่ได้ผลชะงัดที่สุดก็คือ ทำให้ประเทศต่าง ๆ ชื่นชอบจีน กระบวนการสร้างความชื่นจึงเกิดขึ้นผ่านการส่งออกวัฒนธรรม ไม่ว่าจะเป็น การเรียนการสอนภาษาจีน การเผยแพร่วัฒนธรรมจีนผ่านสถาบันขงจื่อทั่วโลก การให้ทุนการศึกษากับต่างประเทศ ความช่วยเหลือทางด้านเศรษฐกิจ และที่ขาดไม่ได้ล่าสุดนี้เห็นจะเป็น “การเปิดสาขาวัดเส้าหลิน”
หลังจากมีข่าวเปิดสาขาวัดเส้าหลินไม่นาน ภาพยนตร์เรื่อง “เส้าหลิน สองใหญ่” ก็ลงฉายผ่านจอเงินให้ได้ชมกัน เหตุที่ตั้งชื่อว่า เส้าหลิน สองใหญ่ คำว่าสองใหญ่นั้นหนีไม่พ้นนักแสดงนำ ที่กำความ “ใหญ่” มาแต่ไหนแต่ไร พวกเขาคือ “หลิว เต๋อหัว” และ “เฉิน หลง” นักแสดงที่ถูกใจคอหนังจีนทั่วโลก
แต่นอกจากสองใหญ่ ที่เกี่ยวกับนักแสดงนำแล้ว ผู้เขียนเห็นว่ายังมีเรื่องใหญ่ ๆ ที่น่าสนใจอีก2 ประการ ที่สอดแทรกมาในภาพยนตร์เรื่องนี้
1 ประวัติศาสตร์ชาตินิยมบนแผ่นฟิล์ม
ภาพยนตร์เส้าหลิน สองใหญ่ สะท้อนภาพช่วงที่แผ่นดินจีนแตกแยก ยุคขุนศึก ก่อนยุคสาธารณรัฐ ขุนศึกผู้ใดกุมอำนาจทหารและสรรพาวุธไว้ในมือ เขาผู้นั้นก็คือผู้ยิ่งใหญ่ แต่ประวัติศาสตร์ช่วงนั้นมีผู้ยิ่งใหญ่หลายคนเสียเหลือเกิน จนต้องมาห้ำหั่นกันเองเพื่อครองความเป็นผู้ยิ่งใหญ่สุดแต่ผู้เดียว หลิว เต๋อหัว รับบทเป็นขุนศึกนามโฮ่ว เจี๋ย ก็ต้องรบรากับขุนศึกอื่น ๆ ฉากแรกคือ โฮ่ว เจี๋ย ไล่ฆ่าขุนศึกฮั่ว หลง เข้าไปในวัดเส้าหลิน และยิงเขาต่อหน้าต่อตาพระในวัด แม้พระเหล่านั้นจะทัดทานอย่างสุดกำลังก็ตาม ทำให้โฮ่วเจี๋ย ได้ครองเมืองเติงเฟิงสมใจปรารถนา
เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจที่มั่นคง วิธีการใด ๆ ก็ไม่เกี่ยง โฮ่ว เจี๋ย ใช้แผนประหัตประหารพี่ชายร่วมสาบาน และในระหว่างการลอบสังหารนั่น เฉา หมั่น น้องชายของเขาก็ทรยศยึดอำนาจไว้เสียเอง โฮ่ว เจี๋ยต้องหนีหัวซุกหัวซุนมาอิงอาศัยวัดเส้าหลิน ธรรมสถานที่เขาเคยเข้ามาจาบจ้วงและฆ่าคน ในครั้งนี้เขาต้องสูญเสียชีวิตลูกสาวไป
แน่นอนว่าก่อนหน้านั้นเขาได้เข้ามายิงขุนศึกผู้หนึ่งในวัดเส้าหลิน บรรดาพระในวัดจึงเห็นว่าเขาเป็นพวกจิตใจหยาบกระด้างชอบใช้กำลัง แต่หนังต้องการสื่อให้เห็นเมตตาธรรมของวัดเส้าหลิน เมื่อเขาและครอบครัวหลบหนีการตามล่าเข้ามาพึ่งวัดอีก วัดก็ยินดีช่วยเหลือ และสอนธรรมะจนกระทั่งเขาเริ่มเข้าใจหลักธรรมะ และตั้งปณิธานไว้ว่า จะต้องทำให้น้องชายของเขา กลับตัวกลับใจให้ได้
เฉา หมั่นหันไปคบกับพวกฝรั่ง แล้วทรยศบรรดาขุนศึกจีนด้วยกัน โดยยอมให้พวกฝรั่งสร้างทางรถไฟผ่านเขตปกครอง ซ้ำร้ายยังลักลอบขนส่งวัตถุโบราณของแผ่นดินให้ต่างชาติ ภาพยนตร์สื่อให้เห็นว่า ผู้ร้ายคือฝรั่ง แต่คนที่ร้ายกว่าคือคนจีนที่ชักศึกเข้าบ้าน และทรยศประเทศชาติ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วจะนำมาซึ่งความวิบัติ
อย่างไรก็ตาม ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์ชาตินิยมจีน ศัตรูตัวฉกาจ ถ้าไม่เป็นฝรั่งก็ต้องเป็นญี่ปุ่น เนื่องจากในประวัติศาสตร์สงครามจีน พญามังกรถูกฝรั่งและญี่ปุ่นย่ำยีถอนเขี้ยวเล็บ คราใดที่พูดถึงความพ่ายแพ้ก็จะสร้างความรู้สึกชาตินิยมให้คนจีนได้ คราใดที่หนังมีฉากว่าคนจีนชนะ แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม ก็จะสร้างความฮึกเหิมได้
2 ธรรมะกับความเป็น “จีน”
หลักธรรมในพุทธศาสนาหลายประการส่งผ่านภาพยนตร์เรื่องนี้ ทำให้คนดูหลายคนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เนื่องจากตื้นตันใจในเมตตาธรรมของพระวัดเส้าหลิน ทั้งสามเณรและภิกษุทำหน้าที่ช่วยเหลือชาวบ้านผู้ตกทุกข์ได้ยากจากภาวะสงครามและการแย่งชิงแผ่นดินของบรรดาขุนศึก
หลังจากที่โฮ่ว เจี๋ยหมดอำนาจมาอยู่วัดเส้าหลิน โดยขอบวชเป็นพระ ก็ได้รับรู้ถึงความเดือดร้อนของชาวบ้าน ท้ายที่สุดบทเรียนอันชอกช้ำทำให้เขาเปลี่ยนวิธีคิดกลายเป็นผู้ที่มีเมตตาอยากช่วยเหลือผู้อื่น เขาปลงตกและมองว่าความคลั่งไคล้ในอำนาจเป็นเรื่องหลงผิดอย่างไม่น่าให้อภัย
เมื่อเจ้าอาวาสสังเกตการร่ายรำกังฟูของโฮ่ว เจี๋ยแล้ว ลูบเคราเอื้อนเอ่ยกับศิษย์เอกว่า “ดูท่าจิตใจของเขาจะสงบเยือกเย็นขึ้น ทุกท่วงท่าละเสียซึ่งความกังวลแล้ว” วจนะนี้สะท้อนหลักการประสานเมตตาจิตกับการฝึกกังฟู สื่อว่าศิลปะจีนออกมาจากจิตใจที่แฝงไปด้วยธรรมะ หาใช่ฝึกกังฟูเพื่อระรานผู้อื่น
พระวัดเส้าหลินในภาพยนตร์หลาย ๆ เรื่อง (แม้กระทั่งเรื่องนี้) จำขึ้นใจว่า “วัดอยู่คนอยู่ วัดล้มคนม้วย” นั่นหมายความว่า ผู้แสดงความรับผิดชอบต่อวัดอย่างแท้จริง เช่นเจ้าอาวาส ศิษย์พี่ใหญ่ จะมิอาจทิ้งวัดเส้าหลินไปที่อื่นได้ แต่ต้องให้บรรดาพระลูกวัดพาชาวบ้านหนี ตนเองยอมสละชีพเพื่อปกป้องวัด ท้ายที่สุด วัดก็ล้ม คนก็ม้วย
ในช่วงที่วัดจะล้ม และคนจะม้วยนั้น โฮ่ว เจี๋ย ได้พยายามทำให้เฉา หมั่นน้องชายของเขาเข้าใจสัจธรรมมากขึ้น โดยยอมสละชีวิตของตน เขาเชื่อว่าบาปที่เขาก่อขึ้นเขาต้องแก้ไขด้วยตนเอง จนท้ายสุดของเรื่องน้องชายเขาจึงสำนึกได้
ไม่ทันการณ์เสียแล้ววัดเส้าหลินถูกทำลายไปมาก คนก็ม้วยไปมากด้วยน้ำมือของพวกฝรั่งที่เล็งปลายปืนใหญ่มาทางวัดเส้าหลิน แล้วกระหน่ำยิงอย่างสะใจเพื่อทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง แต่สุดท้ายคณะพระวัดเส้าหลินที่เหลือก็สามารถซุ่มลอบฆ่าพวกฝรั่งได้ จนเภทภัยหมดไป แต่วัดเส้าหลินก็มอดไหม้ในกองเพลิงด้วยเช่นกัน
หนังจบด้วยความประทับใจ ฝรั่งตาย คนจีนแม้ตายไปมากก็ยังเหลืออยู่จำนวนหนึ่งที่หลบหนีออกมาได้ พวกเขามองกลับไปดูวัดเส้าหลินด้วยความโศกเศร้าแต่ก็ภาคภูมิใจในความเป็นจีน มิรู้ลืม ภาพยนตร์เรื่องนี้อาจกล่าวได้ว่าประสบความสำเร็จในแง่ของการเผยแพร่วัฒนธรรมความเป็นจีนผ่านกังฟูวัดเส้าหลิน และสร้างความรู้สึกชาตินิยมไปพร้อม ๆ กัน