โค้กบุกไม่ยั้ง ยึดตลาดน้ำดื่มจีน

ซีเอ็นเอ็น-โคคา-โคล่า บริษัทเครื่องดื่มใหญ่ที่สุดในโลก วางแผนเพิ่มโรงงานผลิตเครื่องดื่มให้มากกว่าสองเท่าตัวในประเทศจีน ภายในสิบปีข้างหน้า อันเป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายเพิ่มยอดขายมากกว่าสามเท่า ไปที่ตลาดชนชั้นกลางในประเทศซึ่งเติบโตขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

ดั๊ก แจ๊คสัน ประธานโคคา-โคล่า (โค้ก)ในจีนกล่าวในวันจันทร์ (23 พ.ย.) ว่า บริษัทยังได้วางแผนลงทุนในการแจกจ่ายตู้แช่โค้กไปยังร้านค้าปลีก บาร์ และภัตตาคารเพิ่มขึ้นหกเท่าตัวในอีกสิบปีนี้เช่นกัน โดยจะจ้างพนักงานขายเพื่อเข้าถึงหน้าร้านกว่า 4.7 ล้านแห่ง

"เรากำลังมีอัตราเติบโตที่ก้าวหน้าในอุตสาหกรรมฯ" เขาบอกกับนักลงทุนในแอตแลนตาเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะยังไม่มีเครื่องดื่มไร้แอลกอฮอลใดที่มีการคาดการณ์ยอดขายว่าจะสูงขึ้นสามเท่าที่ 3 หมื่นล้านหน่วย ในปี พ.ศ. 2563

โคคา-โคล่า มีแผนฯ ที่จะขยายตลาดในประเทศจีนให้เป็นศูนย์กลางของการผลักดันรายได้รวมทั่วโลกเพิ่มขึ้นสองเท่า จากเกือบ 1แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็น 2 แสนล้านเหรียญ ในอีก 10 ปี

ผู้บริหาร โคคา-โคล่า กล่าวถึงความคาดการณ์ว่าร้อยละ 60 ของการเจริญเติบโตครั้งใหม่ จะมาจากจีน อินเดียและตลาดใหม่อื่นๆ ขณะที่เพียงร้อยละ 15 จะมาจากตลาดเดิมที่พัฒนาแล้ว

จีนสร้างรายได้ให้ โคคา-โคล่า มากเป็นอันดับสามของโลก ด้วยรายได้เฉลี่ยจากการบริโภคผลิตภัณฑ์ โคคา-โคล่า 28 หน่วยต่อคนต่อปี ไล่เลี่ยกับประเทศแอฟริกา และต่ำกว่าประเทศบราซิล ที่มีการดื่ม 199 หน่วยต่อคนต่อปี ในปีที่แล้ว

โดยไม่ได้ระบุจำนวนที่แน่นนอน นายแจ๊คสัน กล่าวว่าจะมีการลงทุนครั้ง "สำคัญ" และ "อย่างมีนัยยะสำคัญ" ในโรงงานผลิตเครื่องดื่มฯขวดบรรจุฯ และตู้แช่เย็น ซึ่งมักใช้เป็นส่วนหนึ่งของการผลักดันยอดขายของ โคคา-โคล่า เสมอมา และจะเพิ่มกลุ่มผู้ดื่มในอัตราส่วนจาก 7 ต่อ 10,000 คน เป็นประมาณ 40 คนให้ได้ในปี 2563 ซึ่งยังคงต่ำกว่าอัตราส่วนของ ละตินอเมริกา ซึ่งอยู่ที่ 50-60 ต่อ 10,000 คน

โคคา-โคล่า เป็นแบรนด์เครื่องดื่มที่ใหญ่ที่สุดในจีน ครองสัดส่วนตลาดเครื่องดื่มเกือบร้อยละ 15 แม้ว่าจะมีคู่แข่งท้องถิ่นในเครื่องดื่มชาและ น้ำผลไม้ แต่ก็มียอดขายในประเทศจีนสูงกว่า PepsiCo คู่ต่อสู้ระดับโลกถึงสองเท่าตัว

นายแจ็คสันยังกล่าวว่า เขาคาดว่าจะเปิดตัว แบรนด์น้ำดื่มเสริมวิตามินของ โคคา-โคล่า ในเดือนนี้ ที่กรุงปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ ซึ่งจะเป็นหนึ่งใน6 แบรนด์ของ โคคา-โคล่า ที่จะทำยอดขายรวมในจีนได้มากกว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี พ.ศ. 2563