ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยมีหลักการใหญ่ๆ คือ สิทธิเสรีภาพและความเสมอภาค ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพในการกระทำการต่างๆ ในกรอบของกฎหมาย ขณะเดียวกันก็มีความเสมอภาคต่อหน้ากฎหมายและความเสมอภาคทางการเมือง หนึ่งคนหนึ่งเสียง รวมทั้งศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ทั้งหมดนี้เป็นรากฐานสำคัญของระบบประชาธิปไตย ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยนั้นต้องมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง หลักนิติธรรม ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพและมีส่วนร่วมทางการเมือง การมีส่วนร่วมของประชาชนเป็นหลักการสำคัญที่สุด ถ้าขาดหลักการดังกล่าวระบบการเมืองนั้นก็ไม่ถือว่าเป็นประชาธิปไตย การมีส่วนร่วมของประชาชนนี้ยังมีการกล่าวถึงในหลักธรรมาภิบาล อันได้แก่การปกครองบริหารโดยทั่วไป
การมีส่วนร่วมในการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือการมีส่วนร่วมในการทำประชาพิจารณ์และประชามติ รวมทั้งการต่อสู้คัดค้านกับนโยบายที่ไม่เห็นด้วย เป็นส่วนสำคัญของระบบการเมืองแบบเปิดที่เรียกว่าประชาธิปไตย แต่การมีส่วนร่วมในกระบวนการทางการเมืองนั้นขึ้นอยู่กับตัวแปรสำคัญ 2 ตัว ตัวแรกได้แก่ วัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตยในส่วนของประชาชน และโครงสร้างและกระบวนการที่สามารถตอบสนองต่อการมีส่วนร่วมดังกล่าวได้
ในแง่ของทฤษฎีได้มีการกล่าวว่าระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยจะได้ผลนั้นขึ้นอยู่กับ 3 ตัวแปร ได้แก่
ตัวแปรแรก ได้แก่ สภาพสังคมเศรษฐกิจที่เอื้ออำนวย เช่น มีระบบสังคมที่เป็นอุตสาหกรรมหรือกึ่งเกษตรกึ่งอุตสาหกรรม มีชนชั้นกลางมากในระดับหนึ่ง คนมีการศึกษาในระดับหนึ่ง มีชุมชนเมืองมากพอ มีสื่อมวลชนที่รับผิดชอบ ฯลฯ
ตัวแปรที่สอง ได้แก่ โครงสร้างและกระบวนการซึ่งอยู่ในรัฐธรรมนูญและในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างสถาบันและกระบวนการในการมีส่วนร่วมทางการเมือง
ตัวแปรที่สาม ได้แก่ วัฒนธรรมการเมืองแบบประชาธิปไตยในหมู่ประชาชนและผู้นำ โดยเฉพาะผู้นำต้องมีศรัทธาในระบอบประชาธิปไตยและมีจิตวิญญาณของความเป็นประชาธิปไตย
แต่ปัญหาของประเทศกำลังพัฒนาก็คือ วัฒนธรรมทางสังคมซึ่งเกิดจากการกล่อมเกลาเรียนรู้ในครอบครัว รวมทั้งค่านิยมที่สืบทอดกันมาเป็นร้อยๆ ปี มักจะมีลักษณะขัดแย้งกับวัฒนธรรมการเมืองแบบประชาธิปไตย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของวัฒนธรรมการเมืองที่มาจากเผด็จการ เมื่อมีการสถาปนาระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยก็จะเกิดความขัดแย้งกันขึ้น ผลก็คือทำให้เกิดการล้มลุกคลุกคลานเนื่องจากวัฒนธรรมสังคมและวัฒนธรรมการเมืองไม่เอื้ออำนวยต่อระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย ในสภาพเช่นนี้จึงเกิดการ “ตกหลังของวัฒนธรรมการเมือง” (political culture lag) กล่าวคือ วัฒนธรรมการเมืองตามไม่ทันความพยายามที่จะสถาปนาระบบการเมืองแบบที่พึงประสงค์ จนนักวิชาการชาวละตินอเมริกาคนหนึ่งได้กล่าวไว้เมื่อหลายสิบปีว่า “ประชาธิปไตยเหมือนต้นไม้ที่มาจากเขตเมืองหนาว เมื่อนำมาปลูกในดินและอากาศของประเทศในละตินอเมริกาจึงเติบโตได้ไม่เต็มที่”
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสังคมโลกตามคลื่นอารยธรรมของอัลวิน ทอฟเฟอร์ ซึ่งมีสามคลื่นอารยธรรมนั้น ย่อมส่งผลต่อประเทศกำลังพัฒนาซึ่งขณะเดียวกันก็มีการเปลี่ยนแปลงภายในด้วย โดยเกิดจากจำนวนหรือปริมาณที่เพิ่มขึ้นของประชากร รวมทั้งการพยายามพัฒนาเศรษฐกิจจากเกษตรไปสู่อุตสาหกรรม และจากการรับเอาเทคโนโลยีข่าวสารเข้ามาในสังคม ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างทางเศรษฐกิจ สังคม รวมทั้งการตื่นตัวทางการเมืองในระดับหนึ่ง
แต่ปัญหาที่ตามมาก็คือ จากการเปลี่ยนแปลงในทางสังคมโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องสิทธิเสรีภาพ ในบางสังคมเกิดขึ้นเร็วมากจนโครงสร้างและสถาบันทางการเมืองไม่สามารถจัดตั้งสถาบันขึ้นมารองรับการมีส่วนร่วมดังกล่าวได้ ซึ่งนำไปสู่ความไม่สอดคล้องของความตื่นตัว (political consciousness) และการเรียกร้องทางการเมือง โดยสภาวะดังกล่าวนั้น แซมมูแอล ฮันติงตัน บอกว่าเป็นความจำเริญทางการเมือง (political modernization)
เมื่อความจำเริญทางการเมืองเกิดขึ้นจำเป็นต้องมีการรองรับการมีส่วนร่วมทางการเมืองด้วยการพัฒนาสถาบันทางการเมืองขึ้นมา การจัดตั้งสถาบันขึ้นมารองรับการมีส่วนร่วมเป็นการพัฒนาการเมือง (political development) แต่การเสียดุลระหว่างสองส่วนคือความจำเริญทางการเมืองสูง ในขณะที่การพัฒนาทางการเมืองต่ำจะนำไปสู่ความวุ่นวายหรือความผุกร่อนทางการเมือง (political decay) อันเป็นที่ทราบกันในหมู่นักวิชาการที่ทราบในเรื่องนี้
การจัดตั้งสถาบันเพื่อรองรับการมีส่วนร่วมทางการเมืองอันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคมนั้น ขึ้นอยู่กับผู้นำทางการเมืองหรือคนที่อยู่ส่วนบนของสังคมว่ามีความเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงมากน้อยเพียงใด คนที่อยู่ส่วนบนของสังคมเป็นคนที่มีสถานะทางสังคม อำนาจ และสถานะทางเศรษฐกิจเหนือกว่าชนชั้นล่าง ส่วนใหญ่มักจะไม่ยอมปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทั้งในสังคมภายในและสังคมระดับโลก โดยลืมคำกล่าวของ ชาร์ลส์ ดาร์วิน ที่ว่า “เผ่าพันธุ์ที่อยู่รอดได้ไม่ใช่เผ่าพันธุ์ที่แข็งแรงที่สุด หรือเก่งที่สุด หากแต่เป็นเผ่าพันธุ์ที่สามารถเข้ากับการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมได้” นี่คือปัญหาสำคัญที่นำไปสู่การพัฒนาอย่างล่าช้าของระบบการเมืองแบบเปิด
ขณะเดียวกันในส่วนของชนชั้นล่างที่เป็นประชาชนทั่วไป ก็มีจำนวนไม่น้อยที่ถูกทำให้อ่อนแอจากความจนและความเขลาเนื่องจากขาดข้อมูลที่พอเพียงต่อความเข้าใจสภาพสังคม การมีส่วนร่วมทางการเมืองซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญของระบบการเมืองแบบเปิดจึงอาจจะถูกชักจูงโดยผู้นำทางความคิด รวมทั้งการขาดขอบเขตของการจำกัดการกระทำให้อยู่ในกรอบที่มีเหตุมีผลและสร้างสรรค์
สภาพดังกล่าวนี้นำไปสู่สภาวะของการเมืองที่มีลักษณะกึ่งการมีส่วนร่วมและกึ่งอนาธิปไตย วัฒนธรรมการเมืองที่เกิดขึ้นอย่างครึ่งๆ กลางๆ ในลักษณะที่มีการมีส่วนร่วมแต่ไม่อยู่ในกรอบของกติกาที่ตกลงกันโดยสังคมโดยส่วนรวม ทำให้สภาพของการมีส่วนร่วมและการพัฒนาระบบการเมืองแบบเปิดในหลายประเทศ กลายเป็นวัฒนธรรมการเมืองแบบอนา-ประชาธิปไตย
วัฒนธรรมการเมืองแบบอนา-ประชาธิปไตยอาจไม่เอื้ออำนวยต่อการพัฒนาระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่ต่อเนื่องและยั่งยืน และมีแนวโน้มที่จะนำไปสู่ความวุ่นวายและความผุกร่อนทางการเมือง (political decay) ตามข้อถกเถียงของแซมมูเอล ฮันติงตัน ปรมาจารย์ทางรัฐศาสตร์
การมีส่วนร่วมในการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือการมีส่วนร่วมในการทำประชาพิจารณ์และประชามติ รวมทั้งการต่อสู้คัดค้านกับนโยบายที่ไม่เห็นด้วย เป็นส่วนสำคัญของระบบการเมืองแบบเปิดที่เรียกว่าประชาธิปไตย แต่การมีส่วนร่วมในกระบวนการทางการเมืองนั้นขึ้นอยู่กับตัวแปรสำคัญ 2 ตัว ตัวแรกได้แก่ วัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตยในส่วนของประชาชน และโครงสร้างและกระบวนการที่สามารถตอบสนองต่อการมีส่วนร่วมดังกล่าวได้
ในแง่ของทฤษฎีได้มีการกล่าวว่าระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยจะได้ผลนั้นขึ้นอยู่กับ 3 ตัวแปร ได้แก่
ตัวแปรแรก ได้แก่ สภาพสังคมเศรษฐกิจที่เอื้ออำนวย เช่น มีระบบสังคมที่เป็นอุตสาหกรรมหรือกึ่งเกษตรกึ่งอุตสาหกรรม มีชนชั้นกลางมากในระดับหนึ่ง คนมีการศึกษาในระดับหนึ่ง มีชุมชนเมืองมากพอ มีสื่อมวลชนที่รับผิดชอบ ฯลฯ
ตัวแปรที่สอง ได้แก่ โครงสร้างและกระบวนการซึ่งอยู่ในรัฐธรรมนูญและในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างสถาบันและกระบวนการในการมีส่วนร่วมทางการเมือง
ตัวแปรที่สาม ได้แก่ วัฒนธรรมการเมืองแบบประชาธิปไตยในหมู่ประชาชนและผู้นำ โดยเฉพาะผู้นำต้องมีศรัทธาในระบอบประชาธิปไตยและมีจิตวิญญาณของความเป็นประชาธิปไตย
แต่ปัญหาของประเทศกำลังพัฒนาก็คือ วัฒนธรรมทางสังคมซึ่งเกิดจากการกล่อมเกลาเรียนรู้ในครอบครัว รวมทั้งค่านิยมที่สืบทอดกันมาเป็นร้อยๆ ปี มักจะมีลักษณะขัดแย้งกับวัฒนธรรมการเมืองแบบประชาธิปไตย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของวัฒนธรรมการเมืองที่มาจากเผด็จการ เมื่อมีการสถาปนาระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยก็จะเกิดความขัดแย้งกันขึ้น ผลก็คือทำให้เกิดการล้มลุกคลุกคลานเนื่องจากวัฒนธรรมสังคมและวัฒนธรรมการเมืองไม่เอื้ออำนวยต่อระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย ในสภาพเช่นนี้จึงเกิดการ “ตกหลังของวัฒนธรรมการเมือง” (political culture lag) กล่าวคือ วัฒนธรรมการเมืองตามไม่ทันความพยายามที่จะสถาปนาระบบการเมืองแบบที่พึงประสงค์ จนนักวิชาการชาวละตินอเมริกาคนหนึ่งได้กล่าวไว้เมื่อหลายสิบปีว่า “ประชาธิปไตยเหมือนต้นไม้ที่มาจากเขตเมืองหนาว เมื่อนำมาปลูกในดินและอากาศของประเทศในละตินอเมริกาจึงเติบโตได้ไม่เต็มที่”
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสังคมโลกตามคลื่นอารยธรรมของอัลวิน ทอฟเฟอร์ ซึ่งมีสามคลื่นอารยธรรมนั้น ย่อมส่งผลต่อประเทศกำลังพัฒนาซึ่งขณะเดียวกันก็มีการเปลี่ยนแปลงภายในด้วย โดยเกิดจากจำนวนหรือปริมาณที่เพิ่มขึ้นของประชากร รวมทั้งการพยายามพัฒนาเศรษฐกิจจากเกษตรไปสู่อุตสาหกรรม และจากการรับเอาเทคโนโลยีข่าวสารเข้ามาในสังคม ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างทางเศรษฐกิจ สังคม รวมทั้งการตื่นตัวทางการเมืองในระดับหนึ่ง
แต่ปัญหาที่ตามมาก็คือ จากการเปลี่ยนแปลงในทางสังคมโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องสิทธิเสรีภาพ ในบางสังคมเกิดขึ้นเร็วมากจนโครงสร้างและสถาบันทางการเมืองไม่สามารถจัดตั้งสถาบันขึ้นมารองรับการมีส่วนร่วมดังกล่าวได้ ซึ่งนำไปสู่ความไม่สอดคล้องของความตื่นตัว (political consciousness) และการเรียกร้องทางการเมือง โดยสภาวะดังกล่าวนั้น แซมมูแอล ฮันติงตัน บอกว่าเป็นความจำเริญทางการเมือง (political modernization)
เมื่อความจำเริญทางการเมืองเกิดขึ้นจำเป็นต้องมีการรองรับการมีส่วนร่วมทางการเมืองด้วยการพัฒนาสถาบันทางการเมืองขึ้นมา การจัดตั้งสถาบันขึ้นมารองรับการมีส่วนร่วมเป็นการพัฒนาการเมือง (political development) แต่การเสียดุลระหว่างสองส่วนคือความจำเริญทางการเมืองสูง ในขณะที่การพัฒนาทางการเมืองต่ำจะนำไปสู่ความวุ่นวายหรือความผุกร่อนทางการเมือง (political decay) อันเป็นที่ทราบกันในหมู่นักวิชาการที่ทราบในเรื่องนี้
การจัดตั้งสถาบันเพื่อรองรับการมีส่วนร่วมทางการเมืองอันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคมนั้น ขึ้นอยู่กับผู้นำทางการเมืองหรือคนที่อยู่ส่วนบนของสังคมว่ามีความเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงมากน้อยเพียงใด คนที่อยู่ส่วนบนของสังคมเป็นคนที่มีสถานะทางสังคม อำนาจ และสถานะทางเศรษฐกิจเหนือกว่าชนชั้นล่าง ส่วนใหญ่มักจะไม่ยอมปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทั้งในสังคมภายในและสังคมระดับโลก โดยลืมคำกล่าวของ ชาร์ลส์ ดาร์วิน ที่ว่า “เผ่าพันธุ์ที่อยู่รอดได้ไม่ใช่เผ่าพันธุ์ที่แข็งแรงที่สุด หรือเก่งที่สุด หากแต่เป็นเผ่าพันธุ์ที่สามารถเข้ากับการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมได้” นี่คือปัญหาสำคัญที่นำไปสู่การพัฒนาอย่างล่าช้าของระบบการเมืองแบบเปิด
ขณะเดียวกันในส่วนของชนชั้นล่างที่เป็นประชาชนทั่วไป ก็มีจำนวนไม่น้อยที่ถูกทำให้อ่อนแอจากความจนและความเขลาเนื่องจากขาดข้อมูลที่พอเพียงต่อความเข้าใจสภาพสังคม การมีส่วนร่วมทางการเมืองซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญของระบบการเมืองแบบเปิดจึงอาจจะถูกชักจูงโดยผู้นำทางความคิด รวมทั้งการขาดขอบเขตของการจำกัดการกระทำให้อยู่ในกรอบที่มีเหตุมีผลและสร้างสรรค์
สภาพดังกล่าวนี้นำไปสู่สภาวะของการเมืองที่มีลักษณะกึ่งการมีส่วนร่วมและกึ่งอนาธิปไตย วัฒนธรรมการเมืองที่เกิดขึ้นอย่างครึ่งๆ กลางๆ ในลักษณะที่มีการมีส่วนร่วมแต่ไม่อยู่ในกรอบของกติกาที่ตกลงกันโดยสังคมโดยส่วนรวม ทำให้สภาพของการมีส่วนร่วมและการพัฒนาระบบการเมืองแบบเปิดในหลายประเทศ กลายเป็นวัฒนธรรมการเมืองแบบอนา-ประชาธิปไตย
วัฒนธรรมการเมืองแบบอนา-ประชาธิปไตยอาจไม่เอื้ออำนวยต่อการพัฒนาระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่ต่อเนื่องและยั่งยืน และมีแนวโน้มที่จะนำไปสู่ความวุ่นวายและความผุกร่อนทางการเมือง (political decay) ตามข้อถกเถียงของแซมมูเอล ฮันติงตัน ปรมาจารย์ทางรัฐศาสตร์