เอเจนซี –การประชุมสมัชชาใหญ่ผู้แทนพรรคคอมมิวนิสต์จีนทั่วประเทศครั้งที่ 17 สมัยที่ 4 ที่เพิ่งสิ้นสุดลงไปเมื่อวันที่ 18 กันยายนที่ผ่านมา ยังคงทิ้งปริศนาเกี่ยวกับผู้นำจีนคนใหม่ให้ผู้คนได้ขบคิดต่อไป สืบเนื่องจากการประชุมฯจบลงโดยไร้การประกาศรองประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เข้าดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการกลางการทหาร ซึ่งพลิกกระแสคาดการณ์ก่อนการประชุมฯ
ทั้งนี้ การประชุมสมัชชาใหญ่ผู้แทนพรรคคอมมิวนิสต์ฯนี้ ถือเป็นการประชุมครั้งใหญ่ที่สุดในรอบปีของพรรคฯ โดยที่ประชุมจะตัดสินนโยบายใหญ่ และตำแหน่งของบุคคล
ก่อนการประชุมมีการคาดหมายกันว่า รองประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ที่มีโอกาสจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำจีนคนใหม่ต่อจากประธานาธิบดี หู จิ่นเทา จะได้รับแต่งตั้งให้เป็นรองประธานคณะกรรมการกลางการทหาร แต่การณ์กลับไปไม่เป็นเช่นนั้น อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางกลุ่มชี้ว่า การประกาศสี จิ้นผิง เข้าดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการกลางการทหาร อาจถูกเลื่อนช้าออกไปหน่อย โดยอาจเป็นปีหน้า
การแต่งตั้งให้รองประธานาธิบดีขึ้นดำรงตำแหน่งรองประธานคณะกรรมการกลางการทหารนั้น ถือเป็นขั้นตอนสำคัญที่ชี้ให้เห็นว่า พรรคฯจะเลือกใครขึ้นเป็นผู้นำคนต่อไป โดยก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีหู จิ่นเทา ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนี้ ในช่วง 3 ปีก่อนเข้ารับตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนในปี 2545 และตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ประธานาธิบดีหูก็กุมตำแหน่งประธานคณะกรรมการกลางการทหารด้วย
การพลาดจากตำแหน่งรองประธานคณะกรรมการกลางการทหารของ นายสี จิ้นผิง ครั้งนี้ ทำให้มีเสียงวิจารณ์จากผู้ที่อยู่ในแวดวงจีนศึกษา ว่าอาจมาจากปัญหาการช่วงชิงอำนาจระหว่างกลุ่มต่างๆ ภายในพรรคฯ หรือการประลองกำลังกันในกลุ่มตัวเก็ง
กลุ่มนักสังเกตการณ์การเมืองจีนกลุ่มหนึ่งชี้ว่า หู จิ่นเทา อาจลงจากตำแหน่งเลขาธิการพรรคฯ และตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 2555 เนื่องจากหมดวาระตำแหน่ง 5 ปี แต่ก็ยังจะนั่งเก้าอี้นายใหญ่คณะกรรมการกลางการทหารต่อไป
นอกจากนี้ อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีแห่งปักกิ่ง (Beijing University of Technology) หู ซิงโต่ว กล่าวว่า หากปีหน้ายังไม่มีการแต่งตั้งให้ สี จิ้นผิง ดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการกลางการทหาร ถึงจะกล่าวได้ว่าสีเผชิญพลังต้านอย่างแท้จริง สำหรับตอนนี้ยังไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นความพ่ายแพ้
นักวิเคราะห์บางกลุ่มมองว่า สาเหตุที่นายสีไม่ได้รับการแต่งตั้งในครั้งนี้ อาจมาจากการคัดค้านของนายทหารอาวุโสในกองทัพประชาชนจีน เนื่องจากนายสีไม่มีความสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับนายทหารระดับสูง และยังขาดหลักฐานที่รับรองว่า เมื่อเขาขึ้นดำรงตำแหน่งสำคัญนี้แล้ว กองทัพจะยังคงได้รับเงินสนับสนุนจำนวนมากอีกหรือไม่
ขณะที่นักวิเคราะห์กลุ่มอื่นโต้แย้งว่า สาเหตุน่าจะมาจากความแตกแยกภายในพรรคคอมมิวนิสต์จีน ที่มีการช่วงชิงอำนาจระหว่างกลุ่มผู้สนับสนุน ประธานาธิบดีหู จิ่นเทา และนายกรัฐมนตรีเวิน เจียเป่า กับ “กลุ่มลูกท่านหลานเธอ” ได้แก่ลูกหลานของกลุ่มผู้นำรุ่นเดอะ และกลุ่มพันธมิตรที่ถูกขนานนามว่า “แก๊งเซี่ยงไฮ้” ของอดีตประธานาธิบดีเจียง เจ๋อหมิน
การที่ผู้คนพูดถึงอนาคตของนายสี จิ้นผิงอย่างสับสนเช่นนี้ ได้เน้นย้ำให้เห็นว่า คนภายนอกรู้เรื่องราวความเป็นไปภายในพรรคคอมมิวนิสต์จีนน้อยเพียงใด และยังชี้ถึงข้อเท็จจริงที่ว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนกำลังต่อสู้ปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งความจริงเหล่านี้ได้สะท้อนออกมาในแถลงการณ์ปิดประชุม ที่ปราศจากเนื้อหาสาระและยังบรรจุไว้ด้วยคำศัพท์เฉพาะกลุ่ม
ทั้งนี้ คำแถลงการณ์ที่เปิดเผยโดยสำนักข่าวซินหัวของทางการจีน ระบุว่า “ภายในพรรคมีปัญหาอยู่มากมายซึ่งขัดแย้งกับสภาวะแวดล้อมใหม่ๆ นอกจากนี้บุคลิกของพรรคยังบั่นทอนความคิดสร้างสรรค์ ความเป็นเอกภาพ และประสิทธิภาพของพรรคฯในการจัดการกับปัญหาต่างๆ...”