เอเชียนวอลสตรีท - จีนเตรียมพร้อมปรับขึ้นค่าน้ำ สร้างสมดุลระหว่างความต้องการใช้และทรัพยากรน้ำที่ร่อยหรอลงอย่างรวดเร็ว อันเนื่องมาจากค่าน้ำถูกเกินไป
วันศุกร์ที่ผ่านมา (31 ก.ค.) ทางการเมืองลั่วหยาง มณฑลเหอหนัน ทางตอนกลางของจีน ได้เริ่มประชุมหารือเพื่อปรับขึ้นค่าน้ำราว 40-48% หลังจากไม่ได้ปรับขึ้นมาตั้งแต่ปี 2546 และก่อนหน้านี้หลายเมืองใหญ่ในจีนก็ได้เริ่มปรับค่าน้ำขึ้นแล้ว
การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความเห็นที่เป็นเอกฉันท์ของรัฐบาลว่า ค่าน้ำที่ถูกเกินไปเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนน้ำในประเทศจีน เพราะเมื่อค่าน้ำถูกบริษัทและครัวเรือนก็ใช้น้ำอย่างไม่ระมัดระวัง กระทั่งในเดือนมีนาคม นายกรัฐมนตรีเวิน เจียเป่ากล่าวว่า “เราจะเดินหน้าปฏิรูปราคาน้ำ” นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้ทุ่มงบประมาณนับพันล้านในการสร้างระบบคลองผันน้ำจากทางใต้ที่มักประสบปัญหาอุทกภัยมายังทางตอนเหนือที่แห้งแล้งด้วย
ปัจจุบัน สัดส่วนน้ำใช้ต่อหัวในประเทศจีนนั้นคิดเป็นสัดส่วนแค่เพียง 1 ใน 4 ของค่าเฉลี่ยทั่วโลกเท่านั้น ขณะที่ตอนเหนือเผชิญภาวะขาดแคลนหนักหน่วง
ด้านธนาคารโลกคาดการณ์ว่า ปัญหาขาดแคลนน้ำของจีน น่าจะสร้างความเสียหายให้แก่เศรษฐกิจจีนถึง 1.3% ของตัวเลขมูลค่าเศรษฐกิจประจำปี
“ค่าน้ำในประเทศจีนนั้นมีราคาต่ำเกินไป ผมมองว่าเป็นความชาญฉลาดของรัฐบาลในการถือโอกาสที่แรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อลดต่ำลง ตัดสินใจปรับขึ้นค่าน้ำเสีย” เจี้ยน เสีย ผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมอาวุโสจากธนาคารโลกกล่าว
ทั้งนี้ ดัชนีราคาผู้บริโภค ซึ่งเป็นปรอทชี้วัดเงินเฟ้อปีนี้ต่ำกว่าช่วงปีที่ผ่านมา ส่งผลให้รัฐบาลระดับนครและมณฑลต่างปรับค่าธรรมเนียมสำหรับบริษัทและครัวเรือนขึ้น ดังเช่น เซี่ยงไฮ้ที่ปรับขึ้นราคาค่าน้ำขึ้น 25% ในเดือนมิถุนายน และวางแผนปรับเพิ่มอีก 22% ในเดือนมิถุนายนปีหน้า ขณะที่เมืองเจิ้งโจว ที่อยู่ตอนกลางของประเทศก็ปรับค่าน้ำขึ้น 25% ในเดือนเมษายน
ด้านผู้สังเกตการณ์เสนอความเห็นว่า จีนต้องปรับขึ้นราคาสำหรับทรัพยากรอื่นๆ ด้วยไม่ใช่แค่น้ำเท่านั้น โดยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟ ได้เร่งให้จีนปรับขึ้นราคาทรัพยากรอื่นๆ ที่เป็นปัจจัยในการผลิต อาทิ ค่าพลังงาน น้ำ และที่ดิน ซึ่งการปรับขึ้นราคาดังกล่าว จะช่วยกำจัดเงินอุดหนุนแอบแฝงที่ผลักดันให้กำไรของบริษัทสูงเกินและกระตุ้นการลงทุนมากเกิน ตามที่นักเศรษฐศาสตร์ระบุ