“สงครามไก่” มังกร-อินทรีระอุ

รอยเตอร์ – สภาคองเกรสประกาศขยายระยะเวลาห้ามนำเข้าผลิตภัณฑ์ไก่จากจีนอ้างหวั่นมาตรฐานความปลอดภัย มังกรไม่พอใจประกาศสงครามโต้กลับด้วยการระงับนำเข้าไก่จากสหรัฐฯ แต่งานนี้พญาอินทรีอาจเดือดร้อนหนักกว่า เพราะจีนเป็นตลาดส่งออกขาไก่รายใหญ่ของประเทศ

จีนประกาศ “สงครามไก่” ระงับนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ อันเป็นมาตรการตอบโต้ความเคลื่อนไหวล่าสุดของสภาคองเกรสที่ประกาศงบประมาณภาคการเกษตรปี 2553 ซึ่งระบุจะขยายระยะเวลาแบนนำเข้าผลิตภัณฑ์ไก่จากจีน ถึงแม้ว่าจีนเคยประกาศอย่างเป็นทางการแล้วว่าจะไม่สกัดกั้นการนำเข้าก็ตาม

จีนเป็นตลาดขาไก่รายใหญ่ของสหรัฐฯ โดยเมื่อปี 2551 ที่ผ่านมาปริมาณการซื้อขายสูงถึง 421,000 ตัน คิดเป็นมูลค่า 280 ล้านเหรียญสหรัฐ ตามที่สภาการส่งออกสัตว์ปีกและไข่ของสหรัฐฯ เปิดเผย เนื่องจากชาวจีนนิยมนำขาไก่มาต้มน้ำซุป ตุ๋น และทำกินเป็นอาหารว่าง แต่ขาไก่กลับขายได้ไม่มากในสหรัฐฯ

ดังนั้นหากขาดตลาดจีนแล้ว ขาไก่ส่วนใหญ่จะต้องถูกนำไปแปรรูปเป็นอาหารสัตว์ หรือผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่อาหาร ซึ่งสร้างเม็ดเงินให้แก่บริษัทไก่สหรัฐฯ น้อยกว่า

ด้านฟาร์ฮา อัสลาม นักวิเคราะห์จากบริษัท สตีเฟนส์ อินซ์ คาดการณ์ว่า รายได้ของผู้ผลิตไก่อย่าง ไทซัน ฟู้ดส์ และ แซนเดอร์ซัน ฟาร์ม จะได้รับผลกระทบหากจีนสกัดการนำเข้าไปจนถึงเดือนกันยายน

นอกจากขาไก่แล้ว จีนยังซื้อปีกไก่ และสะโพกไก่ด้วย โดยเมื่อปี 2551 จีนซื้อเนื้อไก่จากสหรัฐฯ มากถึง 754,000 ตัน หรือ 676 ล้านเหรียญสหรัฐ

แต่เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว ผู้นำเข้าจีนได้แจ้งไปยังบริษัทไก่สหรัฐฯ ว่า ปักกิ่งไม่ออกใบอนุญาตให้นำเข้าไก่ของสหรัฐฯ ซึ่งสาเหตุน่าจะเกี่ยวพันกับมาตรการการสกัดกั้นการนำเข้าเนื้อไก่จากจีนของสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม คาดการณ์ว่ายังมีไก่สหรัฐฯ บางส่วนที่สามารถเล็ดลอดเข้าไปยังประเทศจีนได้โดยผ่านทางฮ่องกง

ทั้งนี้ ประเด็นเรื่องไก่กลายเป็นความขัดแย้งล่าสุดระหว่างสองชาติมหาอำนาจ โดยก่อนหน้านี้จีนได้สั่งแบนเนื้อหมูจากสหรัฐฯ ตั้งแต่มีข่าวการแพร่ระบาดของเชื้อไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009 หรือที่เรียกกันก่อนหน้านี้ในชื่อ “ไข้หวัดหมู” แม้ว่าหมูจะไม่ใช่พาหะนำเชื้อไวรัสตัวนี้ก็ตาม ซึ่งในสัปดาห์หน้าความขัดแย้งเหล่านี้อาจคลี่คลายลง เพราะเจ้าหน้าที่ระดับอาวุโสจากสำนักงานตัวแทนการค้าสหรัฐฯ จะเดินทางเข้าพบเจ้าหน้าที่จีนเพื่อหารือเกี่ยวกับประเด็นการค้าระดับทวิภาคี