เอเจนซี-ในบรรดาสี่รัฐใหม่ที่มีเขตแดนติดต่อกับทะเลสาบแคสเบียนหลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปี 2534 ได้แก่ รัสซีย อาเซอร์ไบจัน และคาซัคสถาน ต่างก็พัฒนาการผลิตน้ำมันถึงระดับที่น่าพอใจ สำหรับรัฐอันดับสี่แห่งทะเลสาบแคสเบียนคือเติร์กเมนสถาน แม้มีน้ำมันน้อยกว่าเพื่อนแต่ก็รวยก๊าซธรรมชาติ
หลังจากที่ประธานาธิบดีซาบาร์มูรัต นิยาซอฟ (Saparmurat Niyazov) ผู้กุมอำนาจเบ็ดเสร็จและได้ชื่อเป็นประธานาธิบดีชั่วชีวิตของเติร์กเมนิสถานเสียชีวิตลงอย่างกะทันหันในวันที่ 26 ธันวาคม 2549 ทั้งรัสเซีย สหรัฐอเมริกา และจีน ต่างก็กรูเข้าช่วงชิงกันอย่างดุเดือดเพื่อสยายปีกครอบงำบ่อก๊าซธรรมชาติอันกว้างใหญ่ที่ยังไม่ได้ขุดเจาะของเติร์กเมนิสถาน สองปีครึ่งต่อมาจีนดูจะคว้าชัยชนะเหนือศึกชิงบ่อก๊าซแห่งนี้ด้วยข้อเสนอเงินช่วยเหลือก้อนโต และการตัดสินใจของทายาทของนิยาซอฟคือประธานาธิบดีกูร์บันกูลี เบียร์ดีมูฮัมเมดอฟ (Gurbanguly Berdimuhamedov) ก็ทำให้ผู้นำในเครมลิน และวอชิงตันต้องกุมขมับ
รางวัลที่ผู้นำเติร์กเมนิสถานกำลังให้แก่จีนเป็นการตอบแทนนี้ คือแหล่งสำรองก๊าซธรรมชาติที่นักธรณีวิทยาชาวรัสเซียนประมาณว่ามีขนาดใหญ่เป็นอันดับสี่ของโลก ด้วยปริมาณตั้งแต่ 10 -14 ล้านล้านคิวบิกเมตร ขณะที่เติร์กเมนิสถานคุยว่าแหล่งก๊าซน้ำมันของตนมีขนาดใหญ่ถึง 24 ล้านล้านคิวบิกเมตร เพื่อปลดเปลื้องข้อสงสัยนี้เมื่อฤดูร้อนที่แล้ว เบียร์ดีมูฮัมเมดอฟ ก็มอบหมายให้บริษัทสัญชาติอังกฤษ Gaffney, Cline &Associates หรือ GCA เข้ามาตรวจสอบอย่างอิสระในบ่อก๊าซธรรมชาติทางใต้ของดินแดนคือ บ่อก๊าซเซาท์ โลโลทัน อุสแมน (South lolotan-Osman)
GCA ทำให้พวกขี้สงสัยเงียบโดยประเมินปริมาณก๊าซธรรมชาติเฉพาะในเซาท์ โลโลทัน อุสแมนแห่งเดียว ระหว่าง 1 และ 14 ล้านล้านคิวบิกเมตร ทำให้เซาท์ โลโลตัน อุสแมนนี้ เป็นบ่อก๊าซธรรมชาติใหญ่เป็นอันดับสี่หรือไม่ก็อันดับห้าของโลก
เมื่อนายกรัฐมนตรี ทัชเบอร์ดี้ ทากิเยฟ (Tachberdy Tagiyev) กลับจากเยือนกรุงปักกิ่ง ก็บอกแก่ประธานาธิบดีเบียร์ดีมูฮัมเมดอฟ ว่าผู้นำจีนรับรองให้เงินกู้ 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯสำหรับพัฒนาแหล่งสำรองก๊าซเซาท์ โลโลทัน ทากิเยฟถึงกับคุยว่า “ถ้าเราสามารถผลิตก๊าซธรรมชาติที่เซาท์ โลโลทันได้ถึงปีละ 50,000 ล้านคิวบิกเมตร ก็สามารถสนองความต้องการก๊าซของประเทศใดๆไปนานถึง 100 ปี”
สำหรับเครมลินและวอชิงตันพลาดโอกาสนี้ไปด้วยวิธีการจัดการแบบผิดๆ โดยพวกเขามักปฏิบัติต่อเติร์กเมนิสถานเยี่ยงพวกบ้านนอกถังแตก
ในกรณีของมอสโค นิยาซอฟไม่พอใจต่อนโยบาย “ซื้อถูกขายแพง” ของ Gazprom เป็นเวลาหลายปี จนบางครั้งถึงกับหยุดส่งก๊าซให้ Gazprom เพื่อประท้วงราคาต่ำ นิยาซอฟดิ้นรนหาทางเลือกใหม่โดยในปี 2540 เปิดท่อขนส่งก๊าซยาว 125 ไมล์ ไปยังอิหร่าน สามารถส่งก๊าซได้ปีละ 8,000 ล้านคิวบิกเมตร และยังขยายน่านฟ้าใหม่โดยในเดือนเมษายน 2549 ก่อนนิยาซอฟเสียชีวิต 8 เดือน เขาก็ลงนามข้อตกลงกับจีน ได้แก่โครงการส่งออกก๊าซธรรมชาติ และโครงการสร้างท่อขนส่งก๊าซเติร์กเมนิสถาน-จีนในปี 2553 ซึ่งสามารถขนส่งก๊าซได้ปีละ 30,000 ล้านคิวบิกเมตร โดยเมื่อปีที่แล้วประธานาธิบดีเบียร์ดีมูฮัมเมดอฟก็อนุมัติสัญญาก่อสร้างท่อขนส่งก๊าซนี้ให้แก่บริษัทน้ำมันจีน และหากท่อขนส่งก๊าซแห่งนี้เปิดใช้ในปีหน้า ก็จะปิดฉากฐานที่มั่นการส่งออกก๊าซของเติร์กเมนิสถานในรัสเซีย
นอกจากนี้ ในวันที่ 9 เมษายนที่ผ่านมา Gazprom ซึ่งกำลังประสบปัญหาความต้องการและรายได้ที่ชะลอตัวในยุโรป จึงตัดสินแต่ฝ่ายเดียว ลดการนำเข้าก๊าซจากเติร์กเมนอย่างฮวบฮาบและกระทันหันถึงร้อยละ 90-95
ในวันที่ 5 มิถุนายนที่ผ่านมา ประธานาธิบดีเบียร์ดีมูฮัมเมดอฟ ก็กล่าวขึ้นว่า “จีนเป็นคู่หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ของเติร์กเมนิสถาน” ซึ่งเป็นการย้ำถึงความไว้เนื้อเชื่อใจจีน หลังจากที่เมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้วระหว่างที่ประธานาธิบดีหู จิ่นเทาเยือนอาชกาบัทเมืองหลวงของเติร์กเมนิสถาน ผู้นำเติร์กเมนเสนอสัญญาเพิ่มการส่งออกไปยังจีนในแต่ละปีเป็น 10,000-40,000 ล้านคิวบิกเมตรแม้ท่อส่งก๊าซเติร์กเมน-จีนยังไม่เปิดดำเนินการ อาชกาบัทดูมั่นใจเต็มร้อยว่าด้วยเศรษฐกิจที่บูมระเบิด จีนไม่มีวันตัดลดการนำเข้า
กว่าที่จะสามารถหันหลังให้พวกสอพลอทุนนิยมที่หวังรวยเร็วอย่างวอชิงตันและรัสเซีย และได้สัญญาที่เท่าเทียมยุติธรรมระยะยาวเช่นนี้ เบียร์ดีมูฮัมเมดอฟต้องท่องสุภาษิตบรรพบุรุษอยู่เสมอ ว่า “ความอดทนสูงคือกุญแจสู่ความสุข”.