เอเจนซี-พญาอินทรีหลบฉากหนุนจีนมีบทบาทใหญ่แก้ไขวิกฤตการเงิน ชี้จีนและสหรัฐฯต้องจับมือกันเปลี่ยนแปลงยุทธศาสตร์กระตุ้นการเติบโตเศรษฐกิจเนื่องจากไม่อาจหวังพึ่งอุปสงค์ในอเมริกา และยืดหยุ่นค่าเงินหยวนมากขึ้น พร้อมปลอบจีนด้วยคำมั่นลดยอดขาดดุลงบประมาณ สร้างความมั่นใจในการซื้อหนี้อเมริกันต่อไป
ทิโมธี ไกธ์เนอร์รัฐมนตรีว่าการคลังแห่งสหรัฐอเมริกาเยือนปักกิ่งครั้งแรกหลังรับตำแหน่งในรัฐบาลบารัก โอบามา โดยมีกำหนดการเยือน 2 วัน ในวันจันทร์(1 มิ.ย.) ไกธ์เนอร์เปิดกิจกรรมแรกโดยไปกล่าวสุนทรพจน์เรื่องความสัมพันธ์เศรษฐกิจจีนและสหรัฐฯที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง ทั้งนี้ ไกธ์เนอร์เป็นศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยปักกิ่ง เคยเรียนภาษาจีนที่นี่ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1980
หลังจากนั้นไกธ์เนอร์ก็นำทีมประชุมร่วมกับหวัง ฉีซัน รองนายกรัฐมนตรีผู้มีหน้าที่ดูแลด้านเศรษฐกิจ ก่อนเข้าพบปะกับนายกรัฐมนตรีเวิน เจียเป่า และประธานาธิบดีหู จิ่นเทาในวันอังคาร(2 มิ.ย.)
ระหว่างกล่าวสุนทรพจน์ที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง ขุนคลังแดนอินทรีโปรยยาหอมชี้ถึงบทบาทสำคัญอย่างล้นเหลือของจีนในเศรษฐกิจโลกปัจจุบัน พร้อมเอ่ยปากสนับสนุนเต็มที่ให้จีนมีบทบาทใหญ่ขึ้นในองค์กรโลกบาลอย่างกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟ เพื่อช่วยจัดระเบียบทิศทางความร่วมมือระหว่างประเทศ
ขณะนี้จีนพยายามเรียกร้องสิทธิการลงคะแนนเสียงเพิ่มขึ้นในไอเอ็มเอฟ แต่สมาชิกขาใหญ่อย่างยุโรปแสดงท่าทีไม่เห็นด้วยโดยชี้ว่าการเปลี่ยนสัดส่วนการโหวตในกลุ่มประเทศผู้ให้กู้ยืมเป็นเรื่องอ่อนไหว
“จีนแข็งแกร่งอย่างน่าอิจฉา ขณะที่กลุ่มเศรษฐกิจในที่อื่นๆ ยังเผชิญภาวะถดถอยอย่างหนักหน่วงและอันตราย” ไกธ์เนอร์กล่าวในห้องบรรยายที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง
ไกธ์เนอร์ย้ำประเด็นเดิมๆ ว่าจีนและสหรัฐฯต้องปรับเปลี่ยนทิศทางเศรษฐกิจโดยยอมรับถึงอำนาจเศรษฐกิจของจีนที่สูงขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่ส่อเค้าว่าสินเชื่ออาจเหือดแห้งไปในบางช่วง เนื่องจากบรรดาธนาคารและกลุ่มนักลงทุนต่างหวาดกลัวในการเสี่ยงปล่อยกู้และลงทุนแม้เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวแล้วก็ตาม
“อำนาจการซื้อในอเมริกันไม่อาจเป็นหัวหอกขับเคลื่อนเศรษฐกิจดังเช่นแต่ก่อน ดังนั้น จีนซึ่งมีเศรษฐกิจที่มั่นคงกว่า ควรหันมากระตุ้นอัตราเติบโตด้วยความต้องการภายในประเทศ แทนการพึ่งพิงความต้องการภายนอกเหมือนเมื่อก่อน และใช้การบริโภคเป็นปัจจัยหลักกระตุ้นอัตราเติบโตแทนการลงทุนและการส่งออก
ร้องจีนช่วยยืดหยุ่นอัตราแลกเปลี่ยน
นอกจากนี้ ไกธ์เนอร์ยังเรียกร้องให้จีนปรับอัตราแลกเปลี่ยนที่ยืดหยุ่นมากขึ้น โดยปล่อยให้เงินหยวนที่ตึงอยู่กับดอลลาร์สหรัฐฯแข็งค่าขึ้น ซึ่งเงื่อนไขนี้สำคัญมากในการเร่งความต้องการในจีน เนื่องจากค่าหยวนที่แข็งขึ้นทำให้สินค้านำเข้าในจีนถูกลง ขณะที่สินค้าส่งออกของจีนก็จะแพงขึ้นสำหรับผู้ซื้อต่างชาติ
ก่อนหน้าในเดือนมกราคม ไกธ์เนอร์สร้างความขุ่นเคืองแก่จีนโดยตอบคำถามแก่วุฒิสมาชิกว่า รัฐบาลโอบามาเชื่อว่าจีนแทรกแซงค่าเงิน ต่อมาในเดือนเมษายนรัฐบาลโอบามาก็เสียงอ่อนลงหน่อยแถลงว่า จีนไม่ได้แทรกแซงค่าเงินเพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันบนเวทีการค้า แต่ค่าเงินหยวนยังคงต่ำค่ากว่าความเป็นจริง
ปลอบขวัญจีน ลดยอดขาดดุลงบประมาณเมกา
ไกธ์เนอร์ย้ำคำมั่นอีกครั้งว่ารัฐบาลโอบามาจะลดยอดขาดดุลงประมาณ โดยจะสร้างระเบียบที่เข้มงวดในการใช้จ่ายในอนาคตและเลิกการกู้ยืมแบบไม่หยุดเสียที ทั้งนี้ยอดขาดดุลงบประมาณในวอชิงตันสร้างความวิตกผวาแก่จีนมาก เนื่องจากจีนเป็นผู้ซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯรายใหญ่สุด และในปีนี้กลุ่มนักลงทุนก็ขาดทุนย่อยยับอย่างเลวร้ายสุดนับตั้งแต่ปี 2520 เนื่องจากกระแสคาดการณ์การขาดดุลงบประมาณของสหรัฐฯ
และในเดือนมีนาคม นายกรัฐมนตรีเวิน เจียเป่าเรียกร้องให้ผู้นำเมกา “ประกันความปลอดภัยแก่สินทรัพย์ของจีน” ทั้งนี้ จากตัวเลขของทางการสหรัฐฯเมื่อเดือนมีนาคม ระบุจีนถือครองพันธบัตรรัฐบาลอเมริกัน เป็นมูลค่าถึง 768,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
ในวันที่ไกธ์เนอร์มาถึงปักกิ่ง โกลบอล ไทมส์ สื่อภาษาอังกฤษของรัฐบาลจีน เผยแพร่การสำรวจกลุ่มนักเศรษฐศาสตร์จีนได้ชี้ถึง “ความเสี่ยงที่น่ากลัว” ในการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม จีนยังมีแรงยืนหยัดซื้อหนี้อเมริกัน เนื่องจากทุนสำรองสกุลเงินต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งขณะนี้มียอดเกือบ 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยเม็ดเงินสกุลต่างชาติเหล่านี้ส่วนใหญ่จีนก็ได้มาจากยอดเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯนั่นเอง
ไกธ์เนอร์จึงเรียกร้องให้ผู้นำจีนเปิดตลาดรับสินค้านำเข้าและการลงทุนจากสหรัฐฯมากขึ้น “จีนได้กำไรมหาศาลจากการค้าและการลงทุนต่างแดน และการส่งออกไปยังทั่วโลก ดังนั้น เราจึงหวังว่าจีนจะขยายโอกาสนำเข้าสินค้า และการลงทุนจากเรา”