ไฟแนนเชียลไทม์ – เจ้าหน้าที่รัฐและนักวิเคราะห์เผย สำนักงานปริวรรตเงินตราแห่งประเทศจีน (SAFE) ยังเดินหน้าช้อนซื้อพันธบัตรรัฐบาลแดนมะกันอย่างต่อเนื่องจนมากทุบสถิติ ทั้งที่ปักกิ่งแสดงท่าทีกังวลเกี่ยวกับการพังทลายของเงินดอลล์
คณะรัฐบาลจีน นำโดยนายกรัฐมนตรี เวิน เจียเป่า ย้ำหลายครั้งถึงความกังวลว่า นโยบายของสหรัฐฯ จะส่งผลให้เงินดอลลาร์พังทลาย และทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อทั่วโลกในที่สุด
แต่ทางการจีนและชาติตะวันตกในกรุงปักกิ่งมองว่า ขณะนี้จีนติด “กับดักดอลลาร์” และไม่มีทางเลือกมากนัก นอกจากการเดินหน้านำเงินในคลังสำรองเงินตราต่างประเทศที่เพิ่มทวีขึ้นเรื่อยๆ ของประเทศ มาลงทุนในพันธบัตรสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดเพียงแห่งเดียวที่ใหญ่และมีสภาพคล่องเพียงพอที่จะรองรับการลงทุนขนาดใหญ่จากจีนได้
ทั้งนี้ ตามข้อมูลของทางการวอชิงตันระบุว่า ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมาจีนถือครองพันธบัตรสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอีก 23,700 ล้านเหรียญสหรัฐ ทุบสถิติเป็น 768,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่งผลให้จีนยังคงได้ชื่อว่าเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของรัฐบาลสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ฝ่ายตะวันตกวิเคราะห์สถานการณ์ว่า “เนื่องจากจีนมีปริมาณเงินสำรองฯ จำนวนมาก ทำให้เวลาที่จีนจะย้ายเข้าไปลงทุนในตลาดใดก็ตาม ก็จะส่งผลทำให้ตลาดทุนนั้นเกิดความปั่นป่วน ขณะเดียวกัน หากจีนนำเงินดอลลาร์ที่สำรองไว้ไปลงทุนมากเกินไป ก็จะส่งผลกระทบต่อมูลค่าเงินทุนสำรองที่มีอยู่”
แม้ว่าสัดส่วนทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของจีนจะเป็นความลับระดับชาติ แต่จากข้อมูลของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ระบุว่า สัดส่วนของเงินดอลลาร์นั้นน่าจะคิดเป็นร้อยละ 70 ของเงินสำรองฯ ทั้งหมด 1,953,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และจีนยังถือครองพันธบัตรสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 1 ใน 4 ของที่ต่างชาติถือครองทั้งหมดด้วย
แต่การล้มละลายของ แฟนนี่ เม และเฟรดดี้ แมค สองสถาบันด้านสินเชื่อและอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของสหรัฐฯ ก็ทำให้เมื่อช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา SAFE ได้เริ่มปรับกลยุทธ์ และหันมาซื้อตราสารหนี้รัฐบาลสหรัฐฯ ระยะสั้นมากขึ้น แทนที่จะซื้อพันธบัตรระยะยาว เนื่องจากมีการคาดการณ์ว่า สหรัฐฯ จะต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระยะกลาง เพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ที่ปรึกษาชาวตะวันตกมองว่า SAFE ไม่ได้เปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ดั้งเดิมในการนำเงินทุนสำรองฯ มาลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ โดยเขาอธิบายว่า SAFE ไม่ค่อยเชื่อมั่นในเงินปอนด์สเตอร์ลิงของอังกฤษมากนัก เพราะคาดว่าเงินปอนด์จะอ่อนค่าลงอีก
ด้านเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ เผยเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า นโยบายของจีนในการเดินหน้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ นั้น จะช่วยเหลือรัฐบาลวอชิงตันบรรเทาปัญหาขาดดุลงบประมาณที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น และไม่มีสัญญาณบ่งชี้ว่าปักกิ่งจะไม่ลงทุนต่อ
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทุนสำรองฯ ของจีนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ SAFE เริ่มเบี่ยงจากดอลลาร์ ไปลงทุนสำรองทอง และซื้อหุ้นบริษัทจดทะเบียนทั่วโลกมากขึ้น
และในระยะยาว ปักกิ่งตั้งเป้าจะลดจำนวนทุนสำรองฯ ที่มหาศาล และการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ลง ด้วยการอัดฉีดทุนสำรองฯ กระตุ้นให้วิสาหกิจรัฐไปลงทุนซื้อคู่แข่งต่างชาติ
ทั้งนี้ เมื่อปีที่แล้ว จีนลงทุนโดยตรงยังต่างประเทศ 52,200 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปี 2550 เกือบเท่าตัว และในสัปดาห์ที่แล้ว รัฐบาลปักกิ่งยังประกาศแผนผ่อนปรนข้อจำกัดเพื่อให้บริษัทในประเทศที่ต้องการไปลงทุนยังต่างแดน สามารถซื้อและกู้เงินสกุลต่างประเทศได้ง่ายดายยิ่งขึ้นด้วย
คณะรัฐบาลจีน นำโดยนายกรัฐมนตรี เวิน เจียเป่า ย้ำหลายครั้งถึงความกังวลว่า นโยบายของสหรัฐฯ จะส่งผลให้เงินดอลลาร์พังทลาย และทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อทั่วโลกในที่สุด
แต่ทางการจีนและชาติตะวันตกในกรุงปักกิ่งมองว่า ขณะนี้จีนติด “กับดักดอลลาร์” และไม่มีทางเลือกมากนัก นอกจากการเดินหน้านำเงินในคลังสำรองเงินตราต่างประเทศที่เพิ่มทวีขึ้นเรื่อยๆ ของประเทศ มาลงทุนในพันธบัตรสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดเพียงแห่งเดียวที่ใหญ่และมีสภาพคล่องเพียงพอที่จะรองรับการลงทุนขนาดใหญ่จากจีนได้
ทั้งนี้ ตามข้อมูลของทางการวอชิงตันระบุว่า ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมาจีนถือครองพันธบัตรสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอีก 23,700 ล้านเหรียญสหรัฐ ทุบสถิติเป็น 768,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่งผลให้จีนยังคงได้ชื่อว่าเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของรัฐบาลสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ฝ่ายตะวันตกวิเคราะห์สถานการณ์ว่า “เนื่องจากจีนมีปริมาณเงินสำรองฯ จำนวนมาก ทำให้เวลาที่จีนจะย้ายเข้าไปลงทุนในตลาดใดก็ตาม ก็จะส่งผลทำให้ตลาดทุนนั้นเกิดความปั่นป่วน ขณะเดียวกัน หากจีนนำเงินดอลลาร์ที่สำรองไว้ไปลงทุนมากเกินไป ก็จะส่งผลกระทบต่อมูลค่าเงินทุนสำรองที่มีอยู่”
แม้ว่าสัดส่วนทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของจีนจะเป็นความลับระดับชาติ แต่จากข้อมูลของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ระบุว่า สัดส่วนของเงินดอลลาร์นั้นน่าจะคิดเป็นร้อยละ 70 ของเงินสำรองฯ ทั้งหมด 1,953,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และจีนยังถือครองพันธบัตรสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 1 ใน 4 ของที่ต่างชาติถือครองทั้งหมดด้วย
แต่การล้มละลายของ แฟนนี่ เม และเฟรดดี้ แมค สองสถาบันด้านสินเชื่อและอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของสหรัฐฯ ก็ทำให้เมื่อช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา SAFE ได้เริ่มปรับกลยุทธ์ และหันมาซื้อตราสารหนี้รัฐบาลสหรัฐฯ ระยะสั้นมากขึ้น แทนที่จะซื้อพันธบัตรระยะยาว เนื่องจากมีการคาดการณ์ว่า สหรัฐฯ จะต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระยะกลาง เพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ที่ปรึกษาชาวตะวันตกมองว่า SAFE ไม่ได้เปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ดั้งเดิมในการนำเงินทุนสำรองฯ มาลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ โดยเขาอธิบายว่า SAFE ไม่ค่อยเชื่อมั่นในเงินปอนด์สเตอร์ลิงของอังกฤษมากนัก เพราะคาดว่าเงินปอนด์จะอ่อนค่าลงอีก
ด้านเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ เผยเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า นโยบายของจีนในการเดินหน้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ นั้น จะช่วยเหลือรัฐบาลวอชิงตันบรรเทาปัญหาขาดดุลงบประมาณที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น และไม่มีสัญญาณบ่งชี้ว่าปักกิ่งจะไม่ลงทุนต่อ
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทุนสำรองฯ ของจีนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ SAFE เริ่มเบี่ยงจากดอลลาร์ ไปลงทุนสำรองทอง และซื้อหุ้นบริษัทจดทะเบียนทั่วโลกมากขึ้น
และในระยะยาว ปักกิ่งตั้งเป้าจะลดจำนวนทุนสำรองฯ ที่มหาศาล และการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ลง ด้วยการอัดฉีดทุนสำรองฯ กระตุ้นให้วิสาหกิจรัฐไปลงทุนซื้อคู่แข่งต่างชาติ
ทั้งนี้ เมื่อปีที่แล้ว จีนลงทุนโดยตรงยังต่างประเทศ 52,200 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปี 2550 เกือบเท่าตัว และในสัปดาห์ที่แล้ว รัฐบาลปักกิ่งยังประกาศแผนผ่อนปรนข้อจำกัดเพื่อให้บริษัทในประเทศที่ต้องการไปลงทุนยังต่างแดน สามารถซื้อและกู้เงินสกุลต่างประเทศได้ง่ายดายยิ่งขึ้นด้วย