xs
xsm
sm
md
lg

เฉิน จู รมต.สาธารณสุข และกลุ่มผู้นำเลือดใหม่ของจีน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เฉิน จู ผู้ร่ำเรียนวิชาการแพทย์ด้วยตัวเอง จนกลายเป็น “หมอตีนเปล่า” หลังจากได้ศึกษาในสถาบันการแพทย์ก็กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโรคโลหิตไหลที่มีชื่อเสียง กระทั่งได้กลายเป็นผู้ที่ไม่สังกัดพรรคคนที่สอง ที่ได้นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีในคณะมุขมนตรีของจีน ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข-ภาพเอเจนซี
เอเอสทีวี ผู้จัดการออนไลน์--“เราได้ผ่านบททดสอบใหญ่จากวิกฤตโรคระบาดจากเชื้อไวรัส อย่าง ซาร์ส มาแล้ว บทเรียน และประสบการณ์ในการปราบปรามเชื้อโรคระบาดระหว่าง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ ทำให้เราเชื่อมั่นว่า จะสามารถหลีกเลี่ยงและควบคุมเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่”

นี่คือคำรับประกันของนาย เฉิน จู รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารสุขจีน ในที่ประชุมข่าวเมื่อปลายเดือนเมษายนขณะที่โลกกำลังตื่นตระหนกถึงเชื้อไข้หวัดหมู หรือเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009

ในความเคร่งเครียด เฉิน จู ก็ยังมีอารมณ์ขัน “การหลีกเลี่ยงกินหมู แหล่งโปรตีนหลักในชีวิตประจำวันของชาวจีนนั้น จะช่วยป้องกันไข้หวัดหมู หรือ? พวกคุณสามารถแก้ปัญหาง่ายๆโดยใส่โป๊ยกั๊กลงไป เท่านั้นเอง”

ทั้งนี้ โป๊ยกั๊กเป็นเครื่องเทศจีน เป็นหนึ่งในสารประกอบหลักในตัวยาต่อต้านเชื้อไวรัส ฟามิฟูล ซึ่งใช้สำหรับป้องกันไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 นี้ด้วย
                            
                                     ******

นายเฉิน จู (陈竺) วัย 55 ปี รัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุขแดนมังกร เป็นรัฐมนตรีในคณะมุขมนตรีจีน ที่ได้รับการกล่าวขวัญจากกลุ่มสื่อจีนและต่างประเทศ ในฐานะเป็นตัวแทนของกลุ่มผู้นำรุ่นใหม่ของจีนที่ได้รับการฝึกฝนหล่อหลอมความคิดในชั้นเรียนโลกตะวันตก เป็นผู้นำที่มีแนวคิดเปิดกว้าง และเป็นรัฐมนตรีคนที่สองที่ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์

“มันเป็นเรื่องน่าละอาย” เฉิน จู พูดเบาๆแทบจะเป็นเสียงกระซิบระหว่างให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าว เกี่ยวกับกรณีอื้อฉาวนมผงปนเปื้อนเมลามีน มันเป็นวิกฤตที่เลวร้ายที่สุดตั้งแต่เขานั่งตำแหน่งนายใหญ่กระทรวงสาธารณสุขในเดือนมิถุนายน พ.ศ.2550

“มันมีสัญญาณเตือนมาก่อนหน้านี้แล้ว” เฉินกล่าวถึงกระแสข่าวเกี่ยวกับกรณีโรคนิ่วในไตที่แพร่ระบาดในเด็กจีนเมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว และสิ่งแรกที่เขานึกถึงคือ กรณีสุนัขและแมวในอเมริกาจำนวนมากที่เสียชีวิตจากโรคนิ่วในไตหลังจากที่กินอาหารสัตว์ปนเปื้อนเมลามีนที่นำเข้ามาจากประเทศจีนในปี พ.ศ. 2550

“เป็นเพราะเราไม่ได้ใส่ใจเพียงพอต่อกรณีที่เกิดขึ้นในอเมริกาเหนือ ถ้าเราได้จัดการเรื่องนี้อย่างจริงจังอีกสักหน่อย...” นายใหญ่แห่งกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งได้รับมอบหมายความรับผิดชอบใหม่ด้านความปลอดภัยอาหารด้วยเมื่อกลางปี 2551 กล่าว

ทว่า ความจริงที่เกิดขึ้น คือกลุ่มเจ้าหน้าที่คอรัปชั่นได้พยายามปกปิดปัญหานมผงสำหรับทารกเป็นเวลาหลายเดือน กระทั่งมีข่าวทารกเสียชีวิตจากโรคนิ่วในไต 3 คน และล้มป่วยด้วยโรคดังกล่าวอีก 3 แสนคน ตามตัวเลขอย่างเป็นทางการ

“เด็กๆต้องเสียชีวิต และล้มป่วยกันขนาดนี้ เพราะไม่มีการเรียกเก็บนมผงปนเปื้อนเหล่านั้นออกจากชั้นวางสินค้า และเราไม่มีหน้ามาพูดคำว่า “ถ้า..ถ้า…” นอกจากเผชิญหน้ากับความจริงที่เกิดขึ้น และจดจำบทเรียน”

เฉิน จู วัย 55 ปี แตกต่างไปจากเจ้าหน้าที่รัฐทั่วไป เขาเป็นรัฐมนตรีคนที่สองในรัฐบาลจีนในรอบ 36 ปีมานี้ ที่ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคฯ สำหรับคนแรกนั้น คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นาย วั่น กัง (万钢) ผู้ได้รับการแต่งตั้งเข้ารับตำแหน่งนี้ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2550

“พวกเขาเป็นสมาชิกแถวหน้าของเจ้าหน้าที่รัฐรุ่นใหม่ที่เพิ่งก้าวสู่อำนาจเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งมีความเป็นมืออาชีพมากกว่า ใช้ความรู้ความชำนัญในการบริหารและแก้ไขปัญหา” Kenneth Jarrett อดีตนักการทูตอเมริกัน ซึ่งเคยเป็นผู้อำนวยการแผนกเอเชีย ของสภาความมั่นคงแห่งชาติ จากปี 2543 -2544 กล่าว

กลุ่มที่ไม่ใช่สมาชิกพรรคฯเริ่มเข้ามามีบทบาทในการบริหารจัดการชีวิตสาธารณชนในจีนมากขึ้น แม้ไม่มีสถิติตัวเลขที่เชื่อถือได้แน่นอน เฉินกล่าวว่าขณะนี้กลุ่มที่ไม่ใช่สมาชิกพรรคฯหลายคนก็ได้เข้าไปมีบทบาทการนำในระดับมณฑล “เมื่อผมเดินทางไปตามมณฑลต่างๆ ก็ได้พบกับหลายคนที่มาจากกลุ่มนี้”

หลายๆคนในกลุ่มผู้นำชั่วรุ่นใหม่นี้ ได้รับอิทธิพลตะวันตก วั่น กัง รัฐมนตรีวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ก็จบการศึกษาระดับปริญญาเอก จาก Clausthal Technical University ในเยอรมนีเมื่อปี พ.ศ. 2534 ต่อมาก็ได้เป็นนักออกแบบอาวุโสของบริษัท Audi วั่น กังยังได้ชื่อเป็นบิดาแห่งโครงการพัฒนาและวิจัย (R&D) ด้านพลังงานสะอาดของจีน ซึ่งมีแผนพัฒนาพาหนะพลังงานลูกผสมหรือไฮบริด และพลังงานไฟฟ้า รวมอยู่ด้วย

ผู้นำอีกท่านที่จัดอยู่ในกลุ่มผู้นำรุ่นใหม่ ได้แก่ เฉิน กัง (陈刚)นายกเทศมนตรีเขตเฉาหยังในกรุงปักกิ่ง เขาบอกว่าได้เรียนรู้เทคนิกการบริหารใหม่ล่าสุดระหว่างที่ศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และขณะนี้ก็กำลังผลักดันสร้างความโปร่งใสในงานที่เกี่ยวข้องกับการยื่นคำร้องของประชาชน นอกจากนี้ ยังมีผู้นำรัฐวิสาหกิจอีกจำนวนหนึ่งที่มาจากกลุ่มผู้นำรุ่นใหม่นี้ อาทิ ผู้บริหารในยักษ์ใหญ่รัฐวิสาหกิจน้ำมัน บริษัท ซีนุก CNOOC

รัฐบาลจีนเริ่มส่งเจ้าหน้าที่ไปเรียนยังต่างประเทศมากขึ้นในช่วงปี 2523 เป็นต้นมา จนเกิดกลุ่มผู้เชี่ยวชาญใหม่ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในช่วงวัย 40 ปี ถึง 50 ปี กลุ่มนักศึกษาเหล่านี้กลับบ้านพร้อมด้วยความเชื่อมั่นและความคิดที่อิสระ หนึ่งในนักศึกษาเหล่านั้น คือ จง หนันซัน ผู้เชี่ยวชาญด้านปอด จบการศึกษาจาก Edinburgh เป็นคนแรกที่ออกมาเปิดเผยโรคทางเดินหายใจฉับพลัน หรือซาร์ส ในปี 2543 เขาได้ให้สัมภาษณ์แก่วารสารการแพทย์ชั้นนำแดนผู้ดี The Lancet บอกว่าสิ่งที่ชาวสก็อต ได้สอนเขา คือ “อย่าเชื่อว่าสิ่งที่ผู้มีอำนาจบอกนั้น ถูกต้อง และเชื่อในการสิ่งที่ตัวเองเห็นเท่านั้น”

เมื่อเฉินกลับบ้านในจีน ก็ได้เป็นผู้อำนวยการห้องทดลองด้านเลือดในนครเซี่ยงไฮ้ สืบเนื่องจากชื่อเสียงในฐานะนักวิทยาศาสตร์ด้านเลือดถึงกับได้เป็นสมาชิกของกลุ่มสถาบันการศึกษาวิทยาศาสตร์ในประเทศฝรั่งเศสและสหรัฐอเมริกา จากนั้น ก็ได้เป็นนายใหญ่คุมศูนย์ตัดต่อสารพันธุกรรมแห่งชาติ (National Human Genome Center) และเขาก็ได้สร้างความประทับใจแก่ผู้นำหลายคนที่มาเยี่ยมชมศูนย์ฯ เมื่อได้ขึ้นมากินตำแหน่งรัฐมนตรีสาธารณสุข ก็ได้รับการยกย่องจากสถาบันต่างๆทั่วโลก

“เขาเป็นส่วนผสมระหว่างตะวันออกละตะวันตก ที่ยอดเยี่ยม” ดร. Murray Lumpkin รองผู้ปฏิบัติการโครงการพิเศษระหว่างประเทศ สังกัดสำนักงานอาหารและยาแห่งสหรัฐฯ หรือ เอฟดีเอ กล่าวยกย่องเฉิน จู และ Cris Tunon หัวหน้าความปลอดภัยด้านอาหารในจีน จากองค์การอนามัยโลก หรือ ฮู ก็ได้กล่าวยกย่องเฉินเช่นกันว่า “เขาเป็นคนจริงใจ และติดดิน” นอกจากนี้ กลุ่มผู้เชี่ยวชาญต่างแดน ต่างชื่นชมการจัดการปัญหานมผงปนเปื้อนของเฉิน
เฉิน จู รัฐมนตรีว่าการสาธารณสุขจีน ตรวจการการทำงานของคณะปฏิบัติการป้องกันโรคระบาดในเขตที่ประสบภัยพิบัติแผ่นดินไหวในมณฑลซื่อชวน (เสฉวน) เมื่อวันที่ 3 มิถุยายน 2551 -ภาพเอเจนซี
เมื่อเฉินได้เข้ารับงานในฐานะหัวเรือใหญ่กระทรวงสาธารณสุข ก็ได้เริ่มปรับโฉมหน้ากระทรวงฯใหม่ โดยได้ระดมความเห็นจากประชาชนในการเสนอแผนปฏิรูปองค์กร

ช่วงเกิดวิกฤตโรคซาร์ส เฉินได้เรียกร้องการปฏิรูปสาธารณสุข โดยลดโครงการ “สร้างภาพลักษณ์” ให้น้อยลง “การรักษาสุขภาพของประชาชน 1,300 ล้านคนนั้น ไม่เพียงแค่แก้ปัญหาเรื่องบริการรักษาพยาบาลและยาเท่านั้น จะต้องส่งเสริมการป้องกันและรักษาสิ่งแวดล้อม นี่คือ รากฐาน”

หนึ่งในแผนการปฏิรูปของเฉิน ได้แก่ การแต่งตั้งกลุ่มผู้เชี่ยวชาญอิสระในคณะกรรมการบริหารโรงพยาบาล

“นี่ไม่ใช่เรื่องปกติธรรมดา” Sarah Barber เจ้าหน้าที่องค์การอนามัยโลก ที่รับผิดชอบด้านนโยบายสาธารณสุขของจีน กล่าวถึงแผนปฏรูปของเฉิน

การแต่งตั้งคนภายนอกจะทำให้กลุ่มที่ไม่ใช่สมาชิกพรรคเข้ามามีบทบาทในการจัดการชีวิตสาธารณชนมากขึ้น แต่เฉินบอกว่ากลุ่มการนำคอมมิวนิสต์ได้ไฟเขียวแนวคิดนี้แล้ว “กลุ่มที่ไม่ใช่สมาชิกพรรคก็เป็นพลังการเมืองที่สำคัญมาก” เฉินกล่าว
เฉิน จู รัฐมนตรีว่าการสาธารณสุขจีน ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับสถานการณ์ไข้หวัดใหญ่ระบาดจนมีเด็กเสียชีวิตไป 4 คน ในเดือนมีนาคม 2551 ซึ่งเป็นช่วงไม่กี่เดือนก่อนเปิดงานโอลิมปิก ปักกิ่ง -ภาพเอเจนซี
จาก “หมอตีนเปล่า” สู่รัฐมนตรีว่าการสาธารณสุข

สำหรับนาย เฉิน จู รัฐมนตรีว่าสาธารณสุข จบการศึกษาจาก St-Louis Hospital แห่งกรุงปารีส และตำแหน่งหน้าที่ปัจจุบันของเขานั้นเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของโลกภายนอกอยู่สูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องมารับผิดชอบการประสานงานวันต่อวัน เกี่ยวกับความปลอดภัยด้านอาหาร รวมทั้งการติดตามเชื้อโรคติดต่ออย่างไข้หวัดนกด้วย

เฉินเป็นทายาทครอบครัวแพทย์ในนครเซี่ยงไฮ้ เมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นก็ถูกส่งตัวไปใช้แรงงานในหมู่บ้านที่ยากจนในมณฑลเจียงซีสมัยปฏิวัติวัฒนธรรมใหญ่ เขาเริ่มเรียนรู้ด้านการแพทย์ตั้งแต่ถูกส่งตัวไปใช้แรงงานในชนบทในปี 2513 โดยเริ่มศึกษาด้วยตัวเอง หลังเสร็จงานในตอนกลางวัน เขาก็คร่ำเคร่งอ่านตำราการแพทย์ของพ่อแม่ถึงดึกดื่นอยู่ใต้แสงตะเกียง ฟ้ายังไม่ทันสว่างก็ตื่นขึ้นมาอ่านฝึกฝนภาษาอังกฤษก่อนออกไปทำงาน ทั้งขอให้พ่อแม่ช่วยสอนวิธีการรักษาพยาบาลทั่วไป เฉินลงมือผ่าตัดครั้งแรกโดยผ่าตัดเนื้องอกในมดลูกของผู้หญิงคนหนึ่ง และการทำให้คนไข้สลบเพียงวิธีเดียวในตอนนั้น ก็คือ การฝังเข็ม “มันเป็นวิธีการธรรมดาๆแต่เป็นเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพมาก”

เฉินทำงานหนัก จนใครๆตั้งฉายานามให้เป็น “หมอตีนเปล่า” ระหว่างอยู่ในชนบทปี พ.ศ. 2513-2518 และรางวัลที่เขาได้รับก็คือ ผู้นำชุมชนได้ส่งเขาไปศึกษาที่วิทยาลัยการสาธารณสุขประจำเขตในมณฑลเจียงซีปี 2518 จนได้เข้าศึกษาวิชาการแพทย์ต่อที่โรงพยาบาลในนครเซี่ยงไฮ้ ผู้เชี่ยวชาญด้านโลหิตชื่อดังคือ หวัง เจิ้นอี้ (王振义) ได้เห็นความสามารถที่โดดเด่นของเฉิน จึงส่งเสริมให้เขาศึกษาต่อ เฉินได้เขียนวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับโรคโลหิตไหล (Hemophilia) ซึ่งวงการแพทย์ระหว่างประเทศให้ความสนใจมาก และได้เป็นสมาชิกชาวจีนคนแรกในสมาคมโรคโลหิตระหว่างประเทศ

ในปี 2527 เขาก็ถูกส่งไปศึกษาต่อที่ศูนย์ศึกษาทดลองด้านโลหิตของ St-Louis Hospital กรุงปารีสในปี 2527 หนึ่งปีต่อมาก็ศึกษาปริญญาเอกด้านวิทยาศาสตร์ชีวภาพ (Life Science) ที่นั่น เขาเรียนอย่างกระหายวิชาความรู้และสนุกกับสไตล์ที่เปิดกว้างในการเรียนรู้ ซึ่งผิดกันแบบหน้ามือหลังมือกับทัศนะของนักศึกษาจีนที่ยึดถือลัทธิขงจื้อในการให้ความเคารพนับถือผู้อาวุโสกว่า

“ผมโชคดีมาก” เฉินพูดถึงชีวิตการศึกษาในต่างประเทศ

ในปี 2532 เฉินก็ตัดสินใจกลับบ้านเกิด แม้ได้รับการร้องขอจากบรรดาอาจารย์ในสถาบันที่เขาศึกษาและทำงานวิจัยให้อยู่ช่วยงานต่อไป แต่เฉินก็พูดพลางหัวเราะว่า “เหตุผลที่ผมกลับบ้าน มิใช่ว่าไม่รักฝรั่งเศส แต่ผมรักประเทศจีนมากกว่า”

แปลเรียบเรียงจาก บทความ China’s Best Westerner นิตยสารนิวสวีคฉบับ 6 เมษายน 2009
บทความ “从赤脚医生到卫生部长陈竺坦受命危难直面一改困局” , 中华儿女, พฤศจิกายน 2008

กำลังโหลดความคิดเห็น