xs
xsm
sm
md
lg

จีนผ่อนปรนกฎระเบียบช่วยธุรกิจ หวั่นงานฟื้นสิ่งแวดล้อม-สิทธิแรงงานชะงัก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ขณะนี้แรงงานอพยพจีนต้องแบกสัมภาระกลับบ้านนาถิ่นเกิดกันถึง 20 ล้านคน ตามตัวเลขที่ทางการระบุ นับเป็นเรื่องที่ทำให้ผู้นำจีนนอนไม่หลับมากที่สุด เนื่องจากปัญหาดังกล่าวสร้างความเสี่ยงต่อความวุ่นวายในสังคมมากที่สุด –ภาพโดยเอเอฟพี
เอเจนซี—หนังสือพิมพ์ลอสแองเจลิสไทมส์เผยกระแสวิจารณ์นโยบายช่วยกลุ่มบริษัทของทางการจีนในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ ระบุว่า ขณะที่กลุ่มธุรกิจอเมริกันต่างร้องขอให้รัฐบาลผ่อนปรนกฎระเบียบต่างๆ ด้านจีน บรรดาเจ้าหน้าที่ก็ดูจะขานรับวิธีการแก้ปัญหาทำนองเดียวนี้กันคึกคัก

โดยเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา หน่วยงานรัฐหลายแห่งในประเทศจีน ได้ออกนโยบายสนับสนุนมาตรการยืดหยุ่นหรืออ่อนนุ่มแก่กลุ่มบริษัทในการปฏิบัติตามกฎระเบียบว่าด้วยการประกอบการ เพื่อช่วยเหลือกลุ่มธุรกิจผ่านพ้นยามยากทางเศรษฐกิจนี้กัน โดยมีเป้าหมายใหญ่ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ รักษาการจ้างงานและเสถียรภาพสังคม ทั้งนี้เนื่องจากในปีที่ผ่านมาบรรดาโรงงานต่างๆในจีนต้องปิดกิจการกันนับหมื่นๆราย และยอดแรงงานอพยพที่ตกงาน ก็ได้พุ่งสูงแตะระดับ 20 ล้านคนไปแล้ว จากตัวเลขทางการที่ยืนยัน

รายงานของลอสแองเจลิสไทม์ส ระบุว่านโยบายยืดหยุ่นที่ประกาศออกไปนั้นเต็มไปด้วยถ้อยคำคลุมเครือ จนกลุ่มนักกฎหมายและนักรณรงค์สิทธิมนุษยชนออกมาแสดงความวิตกว่าจะทำให้เจ้าหน้าที่หย่อนยานในการบังคับใช้มาตรการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม การคุ้มครองสิทธิแรงงาน และคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา

“กลุ่มผู้นำและเจ้าหน้าที่ในท้องถิ่น มีเสรีภาพกว้างขวางในการตีความนโยบายของรัฐที่ระบุให้ยืดหยุ่นแก่กลุ่มธุรกิจ มันอาจจะนำไปสู่อาชญากรรมเล็กๆ หรือสิ่งผิดกฎหมาย อาทิ การหลีกเลี่ยงภาษี การละเมิดด้านแรงงาน และการปล่อยมลพิษ หรือไม่? ” หลิว ข่ายหมิง ผู้อำนวยการสถาบันสังเกตการณ์ของสำนักงานคุ้มครองแรงงานในท้องถิ่นเมืองเซินเจิ้น แสดงความวิตก

ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา คณะกรรมการเพื่อการพาณิชย์และอุตสาหกรรม ประจำมณฑลเจ้อเจียง ซึ่งเป็นเขตขุมพลังทางเศรษฐกิจของประเทศ ก็ได้ออกนโยบาย “ สาม ไม่” ได้แก่ ไม่ให้มีการลงโทษกลุ่มธุรกิจที่ “กระทำการละเมิดที่ไม่มีผลกระทบโดยตรงในการเกิดก่ออันตรายที่ร้ายแรง” โดยให้เพียงตักเตือนให้แก้ไขความประพฤติเท่านั้น สำหรับ “ไม่” ในข้อสอง และข้อสามนั้น เกี่ยวกับการอนุมัติการจดทะเบียน และใบอนุญาต

นอกจากนี้ ในศูนย์กลางอุตสาหกรรมการผลิตเพื่อส่งออกในมณฑลกว่างตง หรือกวางตุ้ง ซึ่งมีกลุ่มโรงงานปิดตัวไปนับหมื่นๆรายเนื่องจากวิกฤตการเงินนั้น รัฐบาลท้องถิ่นได้บอกให้หน่วยตรวจสอบออมมือในการกระทำที่จะกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการและกลุ่มผู้จัดการบริษัท แม้เจ้าหน้าที่รวบรวมหลักฐานได้ทั้งหมดแล้วก็ตาม ก็ให้เลื่อนการพิจารณาออกไปจนกว่าบริษัทจะดำเนินธุรกิจเสร็จสิ้น

“ในกรณีที่เกิดอาชญากรรมเล็กน้อย ก็สามารถเลื่อนการตรวจสอบตามแต่ดุลพินิจ” ใบประกาศเผยแพร่ออกมาหลังจากที่หน่วยพิทักษ์สันติราษฎร์ได้แจ้งให้กลุ่มตรวจสอบอาชญากรรมเศรษฐกิจ งดใช้กฎเหล็กเข้มงวดกับกลุ่มผู้จัดการระดับสูง

ขณะนี้ มีมณฑลต่างๆในประเทศจีน อย่างน้อย 5 มณฑล ได้แก่ กว่างตง เสฉวน และเหลียวหนิง ได้ประกาศผ่านเว็บไซต์ ให้ผู้คุมกฎฯในท้องถิ่น สร้างประสิทธิภาพการทำงาน และเร่งการประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของโครงการขนาดใหญ่

“ในการประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมของโครงการใดๆ จะต้องให้ความสำคัญอันดับแรกกับการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วและมั่นคงก่อน” อู่ เสี่ยวชิ่ง รองรัฐมนตรีกระทรวงคุ้มครองสิ่งแวดล้อมของรัฐบาลกลาง ระบุในแถลงการณ์บนเว็บไซต์ของกระทรวง

นอกจากนี้ ในคำสั่งของบรรดารัฐบาลท้องถิ่นระดับมณฑล ต่างมุ่งให้ความสำคัญกับการรักษาตำแหน่งงานไว้ สืบเนื่องจากแม้รัฐบาลได้ทุ่มเม็ดเงินผลักดันแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ 585,000 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่ตัวเลขการเติบโตเศรษฐกิจไตรมาสแรก ก็ยังชะลอตัวที่ร้อยละ 6.1 ขณะที่กลุ่มนักวิเคราะห์ชี้ว่า จีนจะต้องรักษาอัตราเติบโตถึงร้อยละ 8 จึงสามารถกระตุ้นการจ้างงานแก่ประชาชนได้อย่างเพียงพอ และไม่ก่อความวุ่นวายในสังคม

กลุ่มนักรณรงค์ต่างวิตกว่าความพยายามของรัฐบาลจะอ่อนลง หลังจากที่สู้อุตส่าห์ปฏิบัติการทำความสะอาดสิ่งแวดล้อมอย่างขนานใหญ่ในช่วงก่อนโอลิมปิก ปักกิ่งเมื่อปีที่แล้ว ทั้งจัดการกลุ่มบริษัทเหมืองถ่านหิน โรงหลอมโลหะ และโรงงานที่สร้างมลพิษหนักๆ ให้ปิดโรงงาน หรือไม่ก็หยุดการผลิตชั่วคราว แต่ขณะนี้ การพิจารณาด้านสิ่งแวดล้อมดูจะมาทีหลัง

ขณะนี้ เป็นที่คาดว่า บริษัทเจียงซี คอปเปอร์ คอร์ป จะเริ่มเดินหน้าโครงการหลอมเส้นตะกั่วริมฝั่งแม่น้ำแยงซี ขณะที่ประชาชนวิตกถึงอันตรายจากพิษสารตะกั่ว แต่เจ้าหน้าที่ก็ได้อนุมัติโครงการอย่างฉับไว โดยสำนักงานสิ่งแวดล้อมมณฑลเจียงซียังได้ออกมาคุยอีกว่าได้ดำเนินการประเมินด้านสิ่งแวดล้อมเสร็จเรียบร้อยแล้วภายใน 3 วัน ขณะที่กฎระเบียบระบุระยะเวลาในการดำเนินการประเมินฯดังกล่าวภายใน 60 วัน

และผลระโยชน์ของคนงานก็ตกอยู่ภายใต้นโยบายประนีประนอมไปด้วย ดังกรณีของนายจาง เจี่ยน ป๋อ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยโรงงานโลหะแห่งหนึ่งในเซินเจิ้น เล่าว่านายจ้างได้โกงค่าจ้างของเขา 2,300 เหรียญสหรัฐ และละเมิดกฎหมายคุ้มครองแรงงานฉบับใหม่ที่เพิ่มคลอดออกมาได้ 15 เดือน จางบอกว่าเขาได้ยื่นฟ้องร้องไปยังหน่วยคุ้มครองแรงงานแต่ก็เสียแรงเปล่า

ลอสแองเจลิสไทม์สระบุในท้ายรายงานข่าวว่า หน่วยบังคับใช้กฎหมายในกว่างตง ซึ่งออกประกาศชี้แนะให้หน่วยงานรัฐปฏิบัติกับกลุ่มธุรกิจด้วยความระมัดระวังนั้น มิได้ตอบคำถามใดๆเมื่อผู้สื่อข่าวขอความเห็นในนโยบายนี้ ด้านเจ้าหน้าที่ในมณฑลเจ้อเจียงก็ไม่ตอบจดหมายขอสัมภาษณ์เกี่ยวกับนโยบาย “สาม ไม่” เช่นกัน
ยามนี้ แม้แต่นักศึกษายังกระเสือกกระสนหางานกันอย่างลำบาก ในภาพนักศึกษานับพันเข้าคิวยาวรอกรอกใบสมัครงานของหน่วยงานต่างๆต้องการตำแหน่วยงานไม่กี่ตำแหน่ง-ภาพโดยเอเอฟพี
สื่อจีนแจงนโยบาย “3 ไม่” ช่วยผู้ประกอบการ

ทั้งนี้ หลังจากที่เจ้อเจียงได้ประกาศนโยบาย “3ไม่” ในสัปดาห์แรกของเดือนมกราคมที่ผ่านมา ก็มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ตามมา และสื่อจีนหลายแห่งก็ได้เผยแพร่รายงานกระแสวิจารณ์เป็นเชิงโต้ตอบโดยย้ำสถานการณ์ว่า ในปี 2551 เฉพาะในมณฑลเจ้อเจียงมีธุรกิจภาคเอกชนที่ถูกยกเลิกใบอนุญาต และปิดกิจการไป ราว 22,000 ราย และในขณะนี้ กลุ่มบริษัทก็เผชิญกับความยากลำบากในการรักษากิจการ จึงต้องมามาตรการออกมาช่วยเหลือ

พร้อมทั้งได้อธิบายนโยบาย “3 ไม่” ได้แก่ ข้อแรก “ไม่ลงโทษ” หมายถึง ไม่ลงโทษการกระทำผิดทั่วไป ที่ไม่ส่งผลกระทบโดยตรงที่ร้ายแรง โดยให้เจ้าหน้าที่เพียงตักเตือนและแก้ไขพฤติกรรม หากยังไม่แก้ไขฯจึงจะลงโทษตามกฎหมาย สื่อจีนได้ยืนยันว่า นโยบายข้อนี้ ระบุข้อจำกัดชัดเจน ว่านโยบายดังกล่าวไม่ครอบคลุมกลุ่มที่ละเมิดกฎฯสร้างอันตรายต่อความมั่นคงสาธารณะ ความปลอดภัยด้านอาหาร ความปลอดภัยในการผลิต และความปลอดภัยด้านสิ่งแวดล้อม

ส่วนนโยบายที่สอง คือ “ไม่ยึดทรัพย์” สำหรับบริษัทที่ถูกตรวจสอบในปี 2551 และยังไม่ได้จ่ายเงินทุนตามกำหนดเวลาที่ระบุไว้ในกฎระเบียบ เมื่อบริษัทได้ยื่นคำร้องและได้รับการอนุมัติแล้ว ก็ให้พักการจ่ายเงินทุนชั่วคราว รวมทั้งยกเว้นบทลงโทษ และให้ขยายหรือเลื่อนกำหนดเวลาจ่ายทุนออกไป

ส่วนนโยบายที่สาม คือ “ไม่เพิกถอน” สำหรับบริษัทที่จดทะเบียนประกอบการระหว่างวันที่ 6 มิถุนายน 2551 ถึง ปลายปี 2552 หากบริษัทเหล่านี้ยังไม่เปิดดำเนินการภายใน 6 เดือน หรือหยุดดำเนินการเป็นเวลาต่อเนื่องมากกว่า 6 เดือน ก็ให้จัดการโดยยืดหยุ่นตามสถานการณ์ โดยยังไม่ต้องเพิกถอนใบอนุญาตประกอบการตามที่กฎระเบียบเดิมระบุไว้.
กำลังโหลดความคิดเห็น