เดอะ วอลล์สตรีต เจอร์นัล/เอพี – รัฐบาลจีนแจงรายละเอียดแผนปฏิรูประบบการดูแลสุขภาพประชาชน ยืนยันสร้างโรงพยาบาลและคลินิกเพิ่มหลายพันแห่ง ขยายการประกันสุขภาพขั้นพื้นฐานถึงมือคนส่วนใหญ่ภายใน 3 ปี ตลอดจนลดความเหลื่อมล้ำการให้บริการรักษาพยาบาลระหว่างคนเมืองกับชนบท
ภายหลังจากได้ประกาศแผนปฏิรูประบบการดูแลสุขภาพของประชาชน ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศไปแล้ว ต่อมาเมื่อวันพุธ (8 เม.ย.) รัฐบาลจีนได้แจกแจงรายละเอียดเพิ่มเติมสำหรับขั้นตอนแรกของแผนปฏิรูป ซึ่งใช้งบประมาณทั้งสิ้น 124,000 ล้านดอลลาร์
นายจาง เหมา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขกล่าวว่า รัฐบาลจะสร้างคลินิกให้ครบทุกหมู่บ้าน ซึ่งมีจำนวนทั้งหมดเกือบ 7 แสนหมู่บ้านทั่วประเทศ และทุกเมืองจะมีโรงพยาบาลอย่างน้อย 1 แห่งภายในสามปีข้างหน้า โดยการก่อสร้างคลินิกจำนวน 29,000 แห่งจะแล้วเสร็จในปีนี้
นอกจากนั้น จะมีการฝึกบุคลากรด้านการรักษาพยาบาล ซึ่งมีใบประกาศรับรองจำนวนทั้งสิ้น 1 ล้าน 3 แสน 7 หมื่นคน เพื่อไปประจำตามคลินิกเหล่านั้น โดยรัฐบาลจะมุ่งการพัฒนาไปที่ภาคกลางและภาคตะวันตกของประเทศ ซึ่งมีความยากจนก่อนเป็นอันดับแรก
ภายใต้แผนปฏิรูป รัฐบาลยังมุ่งขยายการประกันสุขภาพขั้นพื้นฐานครอบคลุมประชากรอย่างน้อยร้อยละ 90 ของทั้งหมด 1 พัน 3 ร้อยล้านคนทั่วประเทศภายใน 3 ปีข้างหน้าอีกด้วย นอกจากนั้น พลเมืองจีนจะได้รับบริการรักษาพยาบาลขั้นพื้นฐานอย่างทั่วถึงทุกคนภายในปี 2563 หรืออีก 11 ปีข้างหน้า
นาย เฉิน จู รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขระบุว่า ภายในปี 2553 การจ่ายค่าประกันควรครอบคลุมถึงราวร้อยละ 50 ของค่ารักษาพยาบาลตามปกติของผู้อยู่ในชนบท ซึ่งเพิ่มจากร้อยละ30ในปีที่แล้ว
นอกจากนั้น การจ่ายค่าประกันสูงสุดต่อปีสำหรับบุคคลจะครอบคลุม 6 เท่าของรายได้เฉลี่ยต่อปีสำหรับในแต่ละท้องถิ่น ที่ผู้ได้รับประกันอาศัยอยู่ ดังนั้น เมื่อคิดเฉลี่ยแล้ว ผู้อาศัยในชนบทจะได้รับค่าประกันราวปีละ 4,200 ดอลลาร์ ขณะที่ผู้อาศัยในเมืองได้ปีละเกือบ 14,000 ดอลลาร์
กระทรวงสาธารณสุขจีนประเมินในปีที่แล้วว่า ค่ารักษาพยาบาลสำหรับโรคหัวใจวายในโรงพยาบาลจีนมีราคาโดยเฉลี่ยราว 1,700 ดอลลาร์ ซึ่งใกล้เคียงกับค่ารักษาโรคมะเร็งในกระเพาะอาหาร
ความมุ่งมั่นอีกประการหนึ่งของการยกเครื่องระบบก็คือลดความเหลื่อมล้ำในการรักษาพยาบาลประชาชนในเมืองและในชนบท ซึ่งที่ผ่านมา มีช่องว่างแตกต่างกันมาก โดยแถลงการณ์ของรัฐบาลเองยอมรับว่า การจัดสรรงบประมาณในปัจจุบันเป็นไปอย่างไม่สมเหตุผล
ขณะที่องค์การอนามัยโลก หรือWHO ระบุว่า รัฐบาลจีนจัดสรรงบประมาณ ที่เอื้ออำนวยคนในเมืองมากกว่า โดยในปี 2548 พื้นที่ชนบทได้รับงบประมาณด้านสาธารณสุขเพียงร้อยละ25 ทั้งที่เป็นถิ่นอาศัยของประชากรถึงราวร้อยละ60
นอกจากนั้น รัฐบาลยังกำลังร่างบัญชียารักษาโรค ซึ่งมีความจำเป็นชุดใหม่ขึ้นมา พร้อมทั้งจะประกาศราคาขายปลีกยา ซึ่งแนะนำโดยรัฐบาลอีกด้วย โดยคณะผู้ปกครองท้องถิ่นจะต้องซื้อยาจากผู้ประมูลที่ให้ราคาต่ำในการประมูล ที่รัฐเป็นผู้ดำเนินการ และทำหน้าที่เป็นผู้จำหน่ายแจกจ่าย
สำหรับประเด็นการปรับปรุงระบบการดำเนินงานของโรงพยาบาลรัฐ ซึ่งเป็นเรื่องยากลำบากนั้น ยังมิได้ระบุไว้ในแผน เนื่องจากต้องรอผลการศึกษาก่อน
ที่ผ่านมา มีเสียงวิจารณ์ว่า โรงพยาบาลรัฐถูกกดดันให้ต้องหารายได้เอง จึงมีการขายยาและคิดค่าตรวจในราคาที่สูง อย่างไรก็ตาม สำหรับนโยบายใหม่ คาดว่า รัฐบาลจะกดดันให้ราคายาถูกลง และตามแนวทางของรัฐบาลนั้น ระบุว่า โรงพยาบาลควรซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ ที่มีความเหมาะสมมากขึ้นสำหรับตลาดจีน ซึ่งบางคนมองว่าเป็นการผลักดันให้มีการซื้ออุปกรณ์ ที่ผลิตขึ้นในท้องถิ่น ซึ่งมีราคาถูกกว่า
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่าการปรับปรุงคุณภาพการรักษาพยาบาลอาจเป็นปัญหาที่ยากกว่า เนื่องจากขาดบุคลากร ที่มีคุณวุฒิ โดยบุคลากรด้านการแพทย์ในโรงพยาบาลรัฐทั่วประเทศ มีราวร้อยละ 17 เท่านั้น ที่จบปริญญาตรี
ขณะที่โรงพยาบาลในเมืองขนาดเล็กและในหมู่บ้าน มีบุคลากรสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเพียงร้อยละ 2.2 จากตัวเลขของกระทรวงสาธารณสุข