เอเชียน วอลล์ สตรีท เจอร์นัล – แม้เศรษฐกิจของจีนในช่วงหลังๆ จะมีสัญญาณฟื้นตัวขึ้นมาบ้าง แต่ในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ผลกำไรของหลายๆ บริษัทลดลงถึง 37 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อน ตกมาอยู่ที่ 219.1 พันล้านหยวน (ราว 1 ล้านล้านบาท)
ตัวเลขดังกล่าวมาจากการเปิดเผยของสำนักงานสถิติแห่งชาติจีนเมื่อวันศุกร์ (27 มีนาคม) ที่ได้ระบุอีกว่า แม้ผลประกอบการภาคธุรกิจถ่านหินและน้ำมันในจีนจะปรับสูงขึ้น แต่ผลประกอบการในอุตสาหกรรมอื่นๆ ทั้ง เหล็กกล้า, พลังงาน, เคมิคัล, วัสดุก่อสร้าง, โรงงานผลิตอุปกรณ์, เคมิคัล ไฟเบอร์ และวัสดุที่ไม่ได้ทำจากเหล็ก กลับลดลง และยังมีแนวโน้มว่าผลกำไรตลอดทั้งปีนี้จะลดลง 20-40 เปอร์เซ็นต์
ที่ผ่านมา เศรษฐกิจจีนต้องพึ่งพิงสภาวะการเงินของบริษัทอุตสาหกรรม การที่บริษัทเหล่านี้ขาดทุนผลกำไรในช่วงที่รัฐบาลได้ทุ่มเงินจำนวนมหาศาลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ จึงหมายถึงว่า บริษัทเหล่านี้มีเม็ดเงินในการจัดซื้ออุปกรณ์ใหม่ๆ หรือขยายธุรกิจน้อยลง และยังเป็นการเพิ่มภาระแก่รัฐบาลจีนในการผลักดันให้เศรษฐกิจเติบโต
การที่ตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ปรับตัวสูงขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ ทำให้หลายคนแอบหวังว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลได้เริ่มเห็นผลแล้ว โดยนายเจียง เจี้ยนชิง ประธานธนาคารอุตสาหกรรมและการค้าของจีน ซึ่งมีขนาดหุ้นใหญ่เป็นอันดับสามในประเทศ กล่าวเมื่อวันพฤหัส (26 มีนาคม) ว่า การบริโภคภายในประเทศเริ่มมีมากขึ้นแล้ว หลังจากเกิดแรงเฉื่อยเนื่องจากการส่งออกลดลง
ขณะที่นักวิเคราะห์ต่างมองว่า ผลกำไรของบริษัทอุตสาหกรรมจะลดลงอย่างต่อเนื่องไปอีกระยะหนึ่ง เพราะแผนกระตุ้นเศรษฐกิจต้องใช้เวลากว่าจะเห็นผล ส่วนบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ที่ได้รางานผลประกอบการในปี 2551 ไปแล้วต่างก็คาดการณ์ว่า ผลประกอบการของบริษัทในปีนี้จะยิ่งแย่กว่าปีที่แล้ว
ก่อนหน้านี้ รัฐบาลจีนคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจีนในปีนี้จะเติบโต 8 เปอร์เซ็นต์ แต่นักเศรษฐศาสตร์กลับเห็นว่า เศรษฐกิจจีนในปีนี้จะเติบโตต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้
ผลจากการที่ยอดส่งออกไปยังสหรัฐฯ และยุโรปลดลง ทำให้บริษัท China Shipping Container Lines Co. มีกำไรลดลง 95 เปอร์เซ็นต์ในปี 2551 และทางบริษัทก็คาดว่า ในปีนี้รายได้ของบริษัทจะลดลงอีก 15 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากจีนมีบริษัทด้านชิปปิ้งจำนวนมากเกินไป
การที่ยอดส่งออกลดลงก็ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันลดลงไปด้วย เนื่องจากการขนส่งสินค้ามีน้อยลงและโรงงานที่ใช้เชื้อเพลิงเป็นพลังงานก็ลดกำลังผลิตลง เรื่องนี้ส่งผลให้บริษัท PetroChina Co. ซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ที่สุดในจีนมีกำไรลดลง 22 เปอร์เซ็นต์ และนับเป็นครั้งแรกที่ผลกำไรของบริษัทลดลงนับตั้งแต่ปี 2546
ส่วนบริษัทด้านการเงินก็มีผลกำไรลดลง โดย ICBC และแบงก์ชาติจีน ได้รายงานผลประกอบ การตลอดทั้งปี 2551 ว่าในส่วน ICBC นั้นผลกำไรช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีเพิ่มขึ้นน้อยกว่า 1 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ผลกำไรของแบงก์ชาติจีนลดลง 59 เปอร์เซ็นต์
ขณะที่บริษัทผู้ผลิตรถยนต์นั้น แม้รายงานผลประกอบการประจำปียังไม่มีออกมา แต่ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดในจีนอย่าง SAIC Motor Corporation ได้ระบุว่า ผลกำไรในปีนี้จะลดลงกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็ตาม ยอดขายรถยนต์ในจีนได้เพิ่มขึ้นเมื่อต้นปีที่ผ่านมาเนื่องจากการส่งเสริมจากภาครัฐ ทำให้นักวิเคราะห์มองว่า ยอดขายรถยนต์ในปีนี้จะเพิ่มขึ้น 6.7 เปอร์เซ็นต์ เท่ากับปีที่แล้ว
นอกจากนี้ ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติยังระบุว่า ในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้กำไรของบริษัทที่รัฐเป็นเจ้าของได้ลดลง 59 เปอร์เซ็นต์จากปีก่อน ขณะที่กำไรของอุตสาหกรรมน้ำมันช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้เพิ่มขึ้น 15 เปอร์เซ็นต์ หรือคิดเป็นกำไร 11.7 พันล้านหยวน ซึ่งแตกต่างจากช่วง 2 เดือนแรกของปีที่แล้วที่อุตสาหกรรมน้ำมันประสบภาวะขาดทุนไป 19.4 พันล้านหยวน อันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงราคาน้ำมันเบนซินและดีเซลภายในจีน
ทั้งนี้ จีนได้ปฏิรูปอุตสาหกรรมน้ำมันและมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมที่ผ่านมา โดยรัฐบาลจีนได้ประกันส่วนต่างผลกำไรของโรงกลั่นน้ำมัน ตราบเท่าที่เพดานราคาน้ำมันอยู่ที่ 80 เหรียญต่อบาร์เรล