ซินหัวเน็ต – พญามังกรลั่น เตรียมปรับเพิ่มอัตราคืนภาษีส่งออกสินค้าเสื้อผ้าและสิ่งทอขึ้นอีกจาก 14% เป็น 15% เพื่อช่วยลดต้นทุนให้แก่ผู้ส่งออก และสร้างแรงแข่งขันให้แก่อุตสาหกรรมในเวทีตลาดโลก นับเป็นความเคลื่อนไหวล่าสุดของรัฐบาลในการต่อสู้กับวิกฤตเศรษฐกิจโลกและปัญหาการส่งออกชะลอตัว
ที่ประชุมคณะมุขมนตรีเมื่อวันพุธ (4 ก.พ.) ได้ประกาศว่า จีนจะปรับเพิ่มอัตราคืนภาษีส่งออกสินค้าเสื้อผ้าและสิ่งทอจาก 14% เป็น 15% เพื่อช่วยลดต้นทุนให้แก่ผู้ส่งออก และกระตุ้นอุตสาหกรรมสิ่งทอ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมสำคัญและสร้างงานในประเทศมากถึง 20 ล้านอัตรา
แต่อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการกำหนดวันบังคับใช้อัตราใหม่ดังกล่าวอย่างเป็นทางการ
แผนอุ้มอุตสาหกรรมสิ่งทอแห่งชาติยังระบุว่า รัฐบาลจีนจะจัดสรรเงินส่วนหนึ่งมาให้แก่บริษัทผลิตสินค้าสิ่งทอ ไฟเบอร์ รวมทั้งบริษัทที่ดำเนินธุรกิจด้านการพิมพ์และย้อมผ้า เพื่อช่วยยกระดับเทคโนโลยีและพัฒนาแบรนด์สินค้าของจีน
พร้อมกันนี้ทางการยังได้แจ้งหน่วยงานท้องถิ่นให้ช่วยเหลือด้านการเงินและบริการเกี่ยวกับเรื่องประกันแก่โรงงานสิ่งทอขนาดกลางและขนาดย่อม
ทั้งยังจะประกาศให้ยกเลิกการใช้เทคโนโลยีและอุปกรณ์ที่สิ้นเปลืองพลังงาน ก่อให้เกิดมลพิษ และล้าสมัย กระตุ้นผู้ผลิตเสื้อผ้าและสิ่งทอให้ย้ายฐานการผลิตจากภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศมายังพื้นที่ฝั่งตะวันตกและภาคกลาง เพิ่มการผลิตสินค้านวัตกรรมใหม่ ขยายตลาดชนบท และสนับสนุนการใช้สินค้าสิ่งทอในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง ขณะเดียวกันก็จะขยายตลาดส่งออกเพื่อรักษาส่วนแบ่งในตลาดโลกให้มีเสถียรภาพด้วย
ทั้งนี้ ข้อมูลตัวเลขจากสำนักงานศุลกากรจีนชี้ให้เห็นว่า สินค้าส่งออกประเภทเสื้อผ้าและสิ่งทอของจีนในปี 2551 นั้นมีมูลค่า 185,170 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.2 ปีต่อปี แต่กระนั้นก็ยังขยายตัวต่ำกว่าปี 2550 ซึ่งขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 10.7
โดยผู้เชี่ยวชาญจากกระทรวงพาณิชย์มองว่า สาเหตุที่การส่งออกชะลอตัวลงนั้นมาจากค่าเงินหยวนที่แข็งค่าขึ้น อุตสาหกรรมขาดสภาพคล่อง และต้นทุนวัตถุดิบในการผลิตพุ่งสูง
อย่างไรก็ตาม เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ จีนได้ปรับอัตราคืนภาษีส่งออกสิ่งทอถึง 3 ครั้งนับตั้งแต่เดือนสิงหาคมปีที่แล้ว โดยปรับเพิ่มครั้งล่าสุดเมื่อเดือนพฤศจิกายนจาก 13% เป็น 14%
พ้นจากประเด็นข้างต้น ในการประชุมหารือเมื่อวันพุธนั้นยังได้พิจารณาเกี่ยวกับมาตรการการสนับสนุนอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องจักรด้วย เนื่องจากรัฐบาลกำลังให้ความสำคัญกับสินค้านวัตกรรมใหม่
โดยได้มีการกระตุ้นบริษัทต่างๆ ให้เพิ่มแรงแข่งขันด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีนวัตกรรมใหม่มากขึ้น รวมทั้งสนับสนุนการควบรวมและซื้อกิจการระหว่างบริษัทใหญ่ด้วย
ทั้งนี้ แผนการณ์ข้างต้นนับเป็นความเคลื่อนไหวล่าสุดของจีนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน จีนได้ประกาศชุดมาตรการมูลค่า 4 ล้านล้านหยวน (586,000 ล้านเหรียญสหรัฐ) เพื่อกระตุ้นความต้องการภายในประเทศ ครอบคลุมทั้งการลงทุนสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานและการบริโภค
โดยในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2551 เศรษฐกิจจีนขยายตัวแค่เพียง 6.8% เท่านั้น เนื่องจากวิกฤตเศรษฐกิจโลก ฉุดให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจตลอดทั้งปีตกมาอยู่ที่ 9% ซึ่งต่ำสุดในรอบ 7 ปี