เอเชียน วอลสตรีทฯ - รัฐบาลจีนไฟเขียวอนุมัติแผนช่วยเหลืออุตสาหกรรมรถยนต์และเหล็ก ปรับลดภาษีการบริโภครถยนต์เล็ก ขณะเดียวกันประกาศลดราคาน้ำมันขายปลีกเบนซิน-ดีเซล อีกหนึ่งความเคลื่อนไหวกระตุ้นความต้องการในภาครถยนต์ หลังตัวเลขยอดขายซบเซาติดต่อกันหลายเดือน
ที่ประชุมคณะมุขมนตรีจีนมีมติรับรองแผนการสนับสนุนดังกล่าวเมื่อวันพุธ(14 ม.ค.) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งมาตรการกระตุ้นการบริโภค หลังจากที่รัฐบาลได้ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยหลายระลอก และแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ มูลค่า 5.86 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยมีเป้าหมายกระตุ้นความต้องการหรือการบริโภคภายใน มาทดแทนตลาดภายนอกในช่วงวิกฤตการเงินโลก
อัตราการขยายตัวของยอดจำหน่ายรถยนต์จีนในปี 2551 ชะลอตัวลงที่ร้อยละ 6.7 ซึ่งเป็นอัตราต่ำเป็นประวัติการณ์ของตลาดรถยนต์อันดับสองของโลกแห่งนี้ที่มีการเติบโตที่เลขสองหลักมานานนับทศวรรษ ขณะที่ยอดขายในเดือนธันวาคมเพียงเดือนเดียวของสหรัฐฯ หดตัวลงมาอยู่ที่ร้อยละ 11.6 จากปีก่อนหน้า
สำหรับมติของที่ประชุมคณะมุขมนตรีจีนเมื่อวันพุธ(14) ได้เห็นชอบให้ลดภาษีการบริโภคแก่ผู้ซื้อรถยนต์ใหม่ที่มีเครื่องยนต์ขนาดตั้งแต่ 1.6 ลิตร ลงมา จากร้อยละ 10 เป็นร้อยละ 5 โดยจะเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม ถึง 31 ธันวาคม 2552 นี้
อย่างไรก็ตาม ยังเป็นที่น่าสนใจว่าเหตุใดรัฐบาลจีนจึงตัดสินใจประกาศลดภาษีเฉพาะรถยนต์ที่มีเครื่องยนต์ขนาดเล็กเท่านั้น ด้านนักวิเคราะห์หลายฝ่ายประเมินว่า การเคลื่อนไหวดังกล่าวของทางการจีนอาจมีจุดประสงค์เพื่อช่วยเหลือผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติจีนทั้งหลาย ซึ่งได้รับผลกระทบจากการที่ยอดขายตกต่ำลงตั้งแต่ช่วงฤดูร้อนของปีที่แล้ว ซึ่งหากพิจารณาจากผลิตภัณฑ์ของบริษัทเหล่านี้ ล้วนแต่เป็นรถยนต์ขนาดเล็กเสียส่วนมาก
ขณะที่ยอดจำหน่ายของบริษัท เชอรี่ ออโตโมบิล ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่สุดของจีน ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จมากสุดในตลาดยานยนต์ ก็ยังมีแนวโน้มที่ลดลงเช่นกัน จากข้อมูลของสมาคมผู้ผลิตรถยนต์แห่งชาติจีนเผยว่า ยอดขายประจำปี 2551 ของเชอรี่ลดลงที่ร้อยละ 6.6 หรือ ขายออก 356,000 คัน เทียบกับปีก่อนหน้า เชอรี่มีอัตราการขยายตัวเกือบร้อยละ 30
ไรกอน เซี่ย นักวิเคราะห์แห่งไดวา ซีเคียวริตี้(Daiwa Securities) ระบุ มาตรการลดภาษีของจีนสามารถช่วยดันปริมาณขายรถยนต์ปีนึ้ให้เติบโตได้ที่ร้อย 3 -6
นอกจากมาตรการลดภาษีให้กับผู้ซื้อรถยนต์แล้ว รัฐบาลจีนยังระบุในแถลงการณ์ว่าจะอนุมัติงบประมาณอุดหนุนจำนวน 5,000 ล้านหยวน (732 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) เพื่อสนับสนุนให้เกษตรกรในเขตชนบทซื้อพาหนะสามล้อ และรถบรรทุกขนาดเล็กคันใหม่ มาแทนรุ่นที่เก่าล้าสมัย และภายใน 3 ปีข้างหน้าจะจัดสรรเงินจำนวน 10,000 ล้านหยวน เพื่อช่วยเหลือผู้ผลิตรถยนต์ในการปรับปรุงเทคโนโลยีการผลิตให้มีความทันสมัย และพัฒนารถยนต์ทางเลือก
ขณะเดียวกัน คณะกรรมาธิการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติจีน(NDRC) ก็ระบุว่าจะปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและดีเซลลงร้อยละ 2 และร้อยละ 3 ตามลำดับ โดยเริ่มมีผลตั้งแต่วันพฤหัสบดี(15 ม.ค.) ซึ่งนับเป็นการตัดสินใจลดราคาเป็นครั้งที่สองในรอบเดือน หลังจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกลดลงอย่างต่อเนื่อง
ที่ผ่านมารัฐบาลจีนเป็นผู้กำหนดและควบคุมราคาน้ำมันสำเร็จรูปภายในประเทศมาโดยตลอด ซึ่งระบบดังกล่าวทำให้ผู้ผลิตน้ำมันต้องแบกรับภาระขาดทุน ทั้งนี้กลไกการกำหนดราคาใหม่เริ่มมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 มกราคม โดยราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและดีเซลสามารถปรับขึ้นได้ตามความเหมาะสมและต้องต่ำกว่าราคาสูงสุดที่รัฐบาลกำหนด
อย่างไรก็ตาม ตลาดค้าปลีกน้ำมันของประเทศจีนยังคงขึ้นอยู่กับสองยักษ์วิสาหกิจรัฐ ดังนั้นราคาขายปลีกที่แท้จริงจึงยังคงอยู่ในระดับที่ทางการจีนอนุญาต
ด้านกง จินซวงวิศวกรรมอาวุโสแห่งสถาบันวิจัยเศรษฐกิจและเทคโนโลยีของไชน่า ปิโตรเลียม คอร์ป(ซิโนเปค)ระบุว่า การที่ลดราคาขายปลีกน้ำมันลง จะช่วยให้ความต้องการน้ำมันในจีนกระเตื้องขึ้น โดยเฉพาะน้ำมันเบนซิน แต่อย่างไรก็ตามอาจจะไม่เพิ่มขึ้นมาก เพราะอัตราการดังกล่าวยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ต่ำ
ด้านความช่วยเหลือในอุตสาหกรรมเหล็ก รัฐบาลจีนเผยว่าต่อไปจะจำกัดการผลิตในผลิตภัณฑ์เหล็กล็อตใหม่ พร้อมทั้งจะผ่อนคลายโนบายภาคการส่งออกของเหล็กมากยิ่งขึ้น เพื่อสร้างสเถียรภาพการแข่งขันในตลาดโลกให้กับจีน หลังจากความต้องการเห็ลกทั้งในประเทศและต่างประเทศลดลงช่วงวิกฤตการเงินโลก
อย่างไรก็ตาม ทางการจีนยังไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดของแผนสนับสนุนอุตสาหกรรมเหล็กด้านอื่นๆ ซึ่งคาดว่าจะมีการประกาศในเร็วๆนี้ พร้อมกันกับแผนช่วยเหลืออุตสาหกรรมต่างๆ เช่น อุตสาหกรรมขนส่งสินค้าทางเรือ ปิโตรเคมี และสิ่งทอ
แอนดี้ เซี่ย นักเศรษฐศาสตร์อิสระในเซี่ยงไฮ้ ระบุว่า หลายๆแผนการของรัฐบาลที่นำมาสนับสนุนอุตสาหกรรมนั้น มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมความมั่นใจให้กับนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ เพราะหากตลาดหุ้นกลับมาคึกคัก เศรษฐกิจก็จะกระเตื้องขึ้นตามลำดับ
