ผู้ผลิตของเล่นฮ่องกงรุม ลีแอนด์ฟุง บีบจ่ายหนี้แทนเคบีทอยส์

เอเอฟพี - กลุ่มผู้ผลิตของเล่นในฮ่องกง ซึ่งสูญเงินไปกว่า 10 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เนื่องจาก เคบีทอยส์ ยักษ์ใหญ่เครือข่ายร้านจำหน่ายของเล่นในสหรัฐอเมริกา ล้มละลายนั้น ได้รวมตัวกันเรียกร้องค่าชดเชยจาก ลี แอนด์ ฟุง บริษัทเทรดดิ้งในฮ่องกง ที่เป็นนายหน้าให้แก่เคทีทอยส์

กลุ่มผู้ผลิตของเล่นในฮ่องกงมากกว่า 40 รายได้รวมตัวกัน ก่อตั้งเป็นคณะกรรมการร่วมเจ้าหนี้ของ ลีแอนด์ฟุง บอกว่า ลีแอนด์ฟุง ยักษ์ใหญ่ด้านเทรดดิ้ง ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกง ต้องรับผิดชอบไม่ว่าในแง่ธุรกิจหรือแง่ศีลธรรม โดยการจ่ายหนี้แทน เคบีทอยส์

“ลีแอนด์ฟุง หยุดจ่ายเงินให้กับผู้ผลิตตั้งแต่เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โดยมีมูลค่าเงินกว่า 10 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทั้งนี้ ลีแอนด์ฟุง เป็นคนออกแอลซี ให้กับผู้ผลิตของเล่น ไม่ใช่เคบี ทอยส์ ดังนั้นลีแอนด์ฟุงจึงต้องเป็นคนจ่ายหนี้” เลวิส หลิว โฆษกและที่ปรึกษาด้านกฎหมายของกลุ่มฯ

“เราส่งสินค้าให้กับเคบีทอยส์ เพราะเราเชื่อมั่นในนายหน้าอย่าง ลีแอนด์ฟุง ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำในฮ่องกง และมีชื่อเสียงทั้งในแวดวงการเมืองและเศรษฐกิจ” กล่าวโฆษกของกลุ่มผู้ผลิตของเล่นในฮ่องกง กล่าว

ทั้งนี้ ทางกลุ่มฯ ประมาณการณ์ว่า มีผู้ผลิตของเล่นในฮ่องกงมากกว่า 100 ราย พร้อมลูกจ้างอีก 100,000 คน ทั้งในฮ่องกงและจีน ตกป็นเหยื่อจากการล้มละลายของ เคบีทอยส์ ที่ล้มละลายไปเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา เนื่องจากยอดขายตกต่ำลงมาก

นอกจากนี้ ทางกลุ่มฯ ยังเรียกร้องให้รัฐบาลเข้ามาแทรกแซง ถ้าทาง ลีแอนด์ฟุง ปฏิเสธที่จะทำตามข้อเรียกร้อง และจะพิจารณาดำเนินการทางกฎหมาย กับ เคบี ทอยส์ และ ลี แอนด์ ฟุง อีกด้วย

ด้าน ลี แอนด์ฟุง บริษัทเทรดดิ้ง ผู้จัดหาสินค้ารายใหญ่แห่งฮ่องกง ยืนยันว่า บริษัทฯทำหน้าที่เป็นเพียงแค่นายหน้า ให้กับบริษัทสหรัฐฯ

“ลีแอนด์ฟุง เข้าใจถึงความลำบากของเหล่าซัพพลายเออร์ แต่เรื่องนี้เกิดขึ้นจากการล้มละลายของเคบีทอยส์ ซึ่งเป็นกรณีทางการค้า และทางบริษัทฯหวังว่าทางฝ่ายจะเข้ามามีส่วนร่วมในการหาทางออกที่เป็นจริงได้” เฮนรี่ เฉิน กรรมการผู้บริหารของลีแอนด์ ฟุง กล่าวในการแถลงข่าว

นายเฉิน ยังบอกด้วยว่า กำลังประสานกับ โรงงานที่ได้ประสบผลกระทบ เพื่อปรึกษากันว่าจะเข้าไปดีลกับกระบวนการล้มละลายของเคบีทอยส์ ในสหรัฐฯ ได้อย่างไร

ทั้งนี้ เคบีทอยส์ ต้นเหตุของปัญหาครั้งนี้ เป็นเครือข่ายร้านขายของเล่นขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ ก่อตั้งในปี 1922 ได้ประกาศปิดร้านทั้ง 461 แห่ง หลังจากพบว่ามีหนี้สินกว่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และยื่นล้มละลายต่อศาลล้มละลายสหรัฐฯ ที่มลรัฐเดอลาแวร์ ไปเมื่อธันวาคมที่ผ่านมา