xs
xsm
sm
md
lg

"ฉงชิ่ง" บททดสอบการพัฒนาเขตเมือง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นครฉงชิ่ง ปี ค.ศ. 2007  ในค่ำคืนฉลองครบรอบ 10 ปี การยกฐานะเป็นเทศบาลนครที่ขึ้นตรงกับรัฐบาลกลาง
เอเจนซี-ผู้นำจีนเล็งขยายเขตเมืองรอบชนบททัาวประเทศเพื่อรองรับแผนการปฏิรูปชนบท พัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกร และขณะนี้ กำลังทดลองพัฒนาเขตเมืองในนครฉงชิ่ง ซึ่งตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกเฉียงใต้อันห่างไกลของประเทศ เพื่อเป็นบทเรียนในการจัดการกับเมืองขนาดใหญ่ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วของจีน

เศรษฐกิจที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วของฉงชิ่ง เป็นแม่เหล็กดึงดูดผู้คนท้องนาชนบทที่ห่างไกล และเมื่อไม่กี่ปีมานี้มีผู้ย้ายถิ่นมาอาศัยในฉงชิ่งถึง 2 ล้านคน บวกกับประชากรอาศัยถาวรในเมืองอีก 4 ล้านคน

ทั้งหมดต่างเบียดเสียดอาศัยกันบนพื้นที่ 500 ตารางกิโลเมตร ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างแม่น้ำเจียหลิงและแยงซีเกียง ที่ซึ่งบ้านและที่ดินป็นสินค้าล้ำค่า ผู้คนนับล้านต่างแย่งชิงพื้นที่อยู่อาศัย

“บ้านเช่าของฉันเต็มตลอด ไม่เคยว่างเลย เพราะความต้องการของตลาดสูงมาก” เฉินจวินไฉ หนึ่งในสิบพนักงานบริษัท เจียงโจว เรียลเอสเตท เอเจนซี่ ซึ่งคร่ำหวอดอยู่ในวงการนี้ตั้งแต่ปี 1998 กล่าว

ทั้งนี้ ตัวเฉินเองก็ย้ายถิ่นมาจากมณฑลซื่อชวน(เสฉวน)ที่อยู่ติดกับเมืองฉงชิ่ง และไม่คิดจะกลับไปอีก โดยให้เหตุผลว่า ไม่ต้องการไปจากเขตที่กำลังเจริญเติบโต ซึ่งปีที่แล้ว เศรษฐกิจฉงชิ่งโตถึง 14%

ปัจจุบัน ฉงชิ่งกำลังตกอยู่ในกระแสน้ำวนอันเชี่ยวกรากแห่งการแปลงสภาพสู่เขตเมือง ซึ่งกำลังส่งผลกระทบต่อบริเวณใกล้เคียงทั้งหมด โดยเทศบาลเมืองแห่งนี้มีขนาดใกล้เคียงกับประเทศออสเตรีย มีประชากรทั้งสิ้น 32 ล้านคน เมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา ฉงชิ่งมีประชากรที่อาศัยอยู่ในเขตเมืองเพียง 28% ของประชากรทั้งหมด 32 ล้านคน ปัจจุบันเพิ่มขึ้นถึง 46% และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 2 เท่าในอีก 20-30 ปี เจ้าหน้าที่ในท้องถิ่นคาดการณ์

นั่นหมายถึง ทุกปีเกษตรกรของเทศบาลเมืองฉงชิ่งถึงครึ่งล้านคน จะย้ายเข้ามาอาศัยอยู่ในเขตเมือง ซึ่งเป็นต้นเหตุของปัญหามากมายในด้านการวางผังเมือง

“สิ่งที่เราเห็นในฉงชิ่ง เป็นสิ่งที่เราพบในเขตเมืองใหญ่ทุกแห่งของจีน เกษตรกรที่หางานในบ้านเกิดไม่ได้ ก็จะย้ายมาทำงานในศูนย์กลางอุตสาหกรรมและบริการ อันเป็นค่านิยมที่ไม่เปลี่ยนแปลง”โจวหลี่ผิง ผู้เชี่ยวชาญด้านประชากรสถาบันวิจัยพัฒนาตะวันตก และมหาวิทยาลัยหังโจวกล่าว

การพลิกโฉมเขตเมือง นับเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างลงลึกที่สุดในประวัติศาสตร์จีน ยิ่งกว่าการสิ้นสุดของระบอบการปกครองโดยราชวงศ์กษัตริย์ หรือการปฏิวัติจีนใหม่ของพรรคคอมมิวนิสต์ เนื่องจากเป็นการพลิกเปลี่ยนสังคมชนบทที่มีอายุนับพันปี ให้กลายเป็นสังคมเมือง

ราว 10 ปีที่แล้ว นักวางแผนเศรษฐกิจได้มองหาวิธีการที่จะยับยั้งการขยายตัว เพื่อควบคุมขนาดของเมืองใหญ่ แต่ก็ต้องยอมจำนนต่อกระแสที่โถมเข้ามาดั่งน้ำเชี่ยวกรากอันไม่ขาดสาย

คาดการณ์กันว่า ปัจจุบันประชากรเขตเมืองของจีนมีอยู่ราว 600 ล้านคน แต่ในปี 2020 อาจเพิ่มขึ้นสูงแตะระดับ 900 ล้านคน ซึ่งมากกว่าครึ่งของประชากรทั้งประเทศ โดยปัจจุบันตัวเลขทางการระบุว่าจีนมีประชากรราว 1,300 ล้านคน

ตามข้อมูลของสถาบันนานาชาติปักกิ่งด้านการพัฒนาเมืองระบุ ขณะที่ประชากรในชนบทบางส่วนอาจย้ายไปอาศัยในเมืองที่เล็กกว่า พวกเขาจะกลายเป็นคนกลุ่มน้อยของที่นั่น และภายใน 15 ปี จีนจะมีแต่เมือง 200 เมืองที่มีประชากรเมืองละ 3 ล้านคน

ราคาที่จ่ายให้กับการเป็นเขตเมืองในอดีต
การเปลี่ยนแปลงของขอบเขตและความเร็วดังกล่าว นำมาซึ่งปัญหามากมาย ฉงชิ่งต้องเผชิญกับผลกระทบมากมายจากการพัฒนาเขตเมืองอย่างรวดเร็ว การจราจรเป็นอัมพาตในชั่วโมงเร่งด่วน เนื่องจากบนท้องถนนอันคับแคบแออัดไปด้วยรถยนต์ของเศรษฐีใหม่ ขณะที่กลุ่มผู้สูงอายุที่อาศัยในเมืองมาแต่เล็กหวนนึกถึงอดีต ซึ่งพวกเขากล่าวว่า ในเวลานั้นไม่มีความกังวลในเรื่องอาชญากรรมเลย

อู๋เติงหมิง นักรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อมวัย 67 ปี ซึ่งเกิดและเติบโตในฉงชิ่งเล่าว่า “สมัยผมยังเด็ก ใครก็สามารถลงไปอาบน้ำหรือดื่มน้ำจากแม่น้ำเจียหลิงได้ แต่ถ้ามาทำตอนนี้จะเป็นสิ่งที่อันตรายมาก”

“ผลกระทบด้านลบต่อสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากบริษัทต่างๆ ทวีความรุนแรงพอๆกับความเร็วในการขยายฐานอำนาจทางธุรกิจของบริษัทเหล่านั้นเลย”

ขณะที่ ปัญหาสิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรมเป็นหนึ่งในปัญหาที่ฉงชิ่งและเมืองใหญ่อื่นๆของจีนกำลังต่อสู้อย่างหนักอยู่นั้น ชุมชนแออัดก็เป็นปัญหาที่กำลังตามมา

อย่างไรก็ดี พื้นที่เมืองอันกว้างใหญ่ของจีนจะต้องใช้ความพยายามอย่างหนักเพื่อให้หลุดพ้นจากความหายนะอย่างที่เกิดในเขตชุมชนแออัดของกรุงดิโอ เดอ จาเนโร ประเทศบราซิล

“ประเทศบางแห่งในแถบละตินอเมริกา มีการขยายเขตเมืองที่สูงมาก และช่องว่างระหว่างคนรวยและจนกว้างมาก ชุมชนแออัดกลายเป็นปัญหาสำคัญของที่นั่น เราจะต้องเรียนรู้จากมัน และลดช่องว่างทางรายได้”โจว จากมหาวิทยาลัยหังโจวกล่าว

แต่ผู้นำฉงชิ่งดูเชื่อมั่นในการพัฒนาเมือง โดยรองนายกเทศมนตรีหวงฉีฟันกล่าวว่า ตนได้ไปศึกษาชุมชนแออัดในประเทศต่างๆ เช่น บราซิล,อินเดีย และไทย และมั่นใจว่า ฉงชิ่งจะไม่มีปัญหาชุมชนแออัดแบบนั้น โดยเห็นว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วหมายถึงเกษตรกรมีโอกาสได้งานเร็วขึ้น จึงไม่ต้องอาศัยอยู่อย่างยากจน

“ช่วง 20 ปีที่ผ่านมาเราเติบโตอย่างรวดเร็ว และใน 20 ปีข้างหน้ามันก็จะเป็นเช่นนี้ต่อไป”หวงฉีฟันกล่าว.



นครฉงชิ่ง ปี 2007 ทดลองแสงสีในคืนก่อนงานเฉลิมฉลองครบรอบ 10 ปี การเป็นเทศบาลนครที่ขึ้นตรงกับรัฐบาลกลางในวันที่ 18 มิ.ย. 1997
เมืองฉงชิ่ง ปี ค.ศ.  2007
วิวนครฉงชิ่งยามค่ำคืน ปี ค.ศ. 2007
การพัฒนาขยายเขตเมืองรอบนครฉงชิ่ง ปี 2007
การพัฒนาขยายเขตเมืองรอบนครฉงชิ่ง ปี 2007
กำลังโหลดความคิดเห็น