xs
xsm
sm
md
lg

เศรษฐีปักกิ่งหาแหล่งพักใจบนหลังอาชา

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พนักงานในสโมสรอีคูลูสกำลังดูแลม้าที่อยู่ภายในสโมสรอย่างดี โดยปัจุบันชาวจีนหันมานิยมการขี่ม้าเพื่อการพีกผ่อนในยามว่างมากยิ่งขึ้น - เอเอฟพี
เอเอฟพี – เวลานี้กีฬาขี่ม้ากำลังเป็นงานอดิเรก ที่พวกเศรษฐีใหม่ในกรุงปักกิ่งคลั่งไคล้กันมาก ดูอย่างสือ ฉี เจ้าของบริษัทผลิตบานประตู วัย 35 ปีนั่นปะไร

โรงงานของสือตั้งอยู่ชานเมืองหลวง เขาต้องไปตรวจตราความเรียบร้อยเกือบทุกวัน และจะต้องแวะที่สโมสรขี่ม้าอีคูลูส (Equuleus Horse Riding Club) ทุกครั้งไป เพื่อเลือกขี่ม้าพันธุ์ดีของตัวเอง ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 3 ตัว

การขี่ม้าเป็นความตึงเครียดกดดันอีกรูปแบบหนึ่ง ทว่ากลับเป็นสถานที่พักใจให้เกิดความเงียบสงบได้อย่างประหลาด

“ม้าเป็นงานอดิเรกสำหรับผม ไม่ได้หวังเรื่องการลงทุนอะไรทั้งนั้นครับ” สือบอก

“การขี่ม้าเป็นการติดต่อสื่อสารรูปแบบหนึ่ง ซึ่งคนและม้าพยายามเข้าใจกัน โดยไม่ต้องใช้ภาษา”

ชาวจีนฐานะมั่งคั่ง ที่นับวันจะเพิ่มจำนวนมากขึ้นอีกหลายคนก็คิดเหมือนสือว่า โมงยามแห่งความสุขบนอานม้าช่วยพาหลีกหนีจากอาชีพการงาน อันรัดตัว และดูเหมือนจะเป็นภูมิคุ้มกันจากวิกฤตการเงินโลกได้เสียอีก

สโมสรอีคูลูสตั้งอยู่บริเวณใจกลางย่านวิลล่าหรู ซึ่งผู้อาศัยส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ เริ่มกิจการอย่างเรียบๆ เมื่อสิบปีก่อน โดยมีม้าในคอกสิบกว่าตัว แต่เดี๋ยวนี้ กิจการรุ่งเรือง โดยมีม้าถึง 85 ตัว ซึ่งหลายตัวปลดระวางจากสโมสรขี่ม้าในฮ่องกง และมาเก๊า ทำให้สถานที่คับแคบไปถนัดใจ

“เมื่อตอนเริ่มเปิดสโมสร สมาชิกส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ แต่เดี๋ยวนี้เป็นคนต่างชาติประมาณครึ่งหนึ่ง คนจีนครึ่งหนึ่ง” คุณมิเชล หวังผู้จัดการสโมสรเล่า

“คนจีนมาที่นี่กันมากขึ้น พยายามหัดขี่ม้า มันกลายเป็นรูปแบบการใช้ชีวิตของคนเหล่านั้นไปแล้ว”

จากตัวเลขอย่างไม่เป็นทางการระบุว่า ปัจจุบันมีสโมสรขี่ม้าในกรุงปักกิ่งกว่า 100 แห่ง ซึ่งเยอะกว่าเมื่อ 80 ปีก่อนมากมาย

คุณหวังบอกว่า สมาชิกสโมสรส่วนใหญ่ของเธอเป็นคนชั้นกลางและชั้นสูง แต่เธอก็ไม่ค่อยแน่ใจนัก เพราะ“ เวลาคนมาที่นี่ เขาพูดกันแต่เรื่องม้า”

เรื่องราวความรักม้าของคนจีนเหมือนกระจกสะท้อนถึงความมั่งคั่งร่ำรวย ที่เติบโตในประเทศ ซึ่งมีเศรษฐกิจขนาดใหญ่อันดับ 4 ในโลก แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแท้ที่จริงแล้ว การขี่ม้าเป็นวิถีชีวิต ที่หยั่งรากลึกลงในแผ่นดินจีนมานานนับพันปี แต่เพิ่งสะดุดหยุดลงในช่วงศตวรรษที่ 20 เมื่อปรากฏรถยนต์, รถจักรยาน และรถไฟขึ้นในประเทศ

“ชาวจีนรักม้ามาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว ความรักนี้อาจฝังอยู่ในสายเลือดของชาวจีนส่วนใหญ่ พอมีโอกาสได้ขี่ม้า ก็ย่อมจะชอบกีฬาประเภทนี้เป็นธรรมดา” สือหนุ่มเจ้าของโรงงานอธิบาย

การขี่ม้าซึมลึกลงในจิตใจของพวกเศรษฐีใหม่ชาวจีนเสียยิ่งกว่าสิ่งน่าหลงใหลคลั่งไคล้อื่น ๆที่มาจากชาติตะวันตก เช่น กอล์ฟ , ไวน์แดง หรือซิก้าร์ และประวัติศาสตร์จีนคงจะเปลี่ยนโฉมหน้าไปอย่างมาก หากไร้ซึ่งม้า

รถม้าเมื่อสมัยสองพันปีก่อนคริสต์กาลหลายคัน ซึ่งนักโบราณคดีขุดค้นพบที่สุสานเลื่องชื่อหลายแห่งบ่งบอกว่า การครอบครองม้าถือเป็นสัญลักษณ์ของขุนนางและกษัตริย์

นอกจากนั้น ยังมีหลักฐานที่เชื่อถือได้ว่า มีการใช้โกลนในแผ่นดินจีนมาตั้งแต่สมัยเมื่อประมาณค.ศ. 300 ซึ่งเป็นเวลาหลายศตวรรษกว่าผู้คนในทวีปยุโรปจะรู้จักใช้โกลนในการขี่ม้ากัน อย่างไรก็ตาม โกลนอาจมีประวัติความเป็นมาในจีน ที่เก่าแก่กว่านั้นอีกก็เป็นได้

กองทัพอาชาจากทางภาคเหนือเคยโจนทะยานเข้าตีแผ่นดินจีนถึง 2 ครั้ง และสถาปนาอาณาจักรขึ้น โดยครั้งแรกเป็นอาณาจักรของชนชาติมองโกลเมื่อศตวรรษที่ 13 จากนั้น อีก 400 ปีต่อมา ชนชาติแมนจูก็เข้ามาก่อตั้งอาณาจักร และเพื่อป้องกันการรุกรานจากข้าศึกทางเหนือ จีนจึงได้พัฒนากองทัพม้าจำนวนหนึ่งขึ้นมา ซึ่งมีความอันเกรียงไกรที่สุดในประวัติศาสตร์

นอกจากนั้น สือยังเล่าว่าผู้คนทางภาคเหนือชอบขี่ม้ามากกว่าผู้คนทางภาคใต้ ตัวเขาเองได้รับการฝึกฝนขี่ม้าแบบทางภาคเหนือ เพราะเกิดในดินแดนทะเลทรายของมณฑลซินเจียง ซึ่งที่นั่น สือขี่ม้าครั้งแรก เมื่ออายุ 10 ขวบ

ความนิยมชมชอบการขี่ม้าของคนปักกิ่งไม่มีทางเล็ดรอดสายตาของพวกนักธุรกิจไปได้ ดังนั้น จึงมีการจัดงานแสดงสินค้าเกี่ยวกับการขี่ม้าครั้งใหญ่ในกรุงปักกิ่งเมื่อเดือนพฤศจิกายน ที่ผ่านมา ซึ่งมีสินค้าตั้งแต่อานม้าไปจนถึงเทปวิดีโอสอนการขี่ม้า มีผู้สนใจเข้าชมงานหลายพันคน

ด้านสโมสรขี่ม้าอีคูลูสเองก็กำลังเล็งเปิดสโมสรในเขตอื่นของกรุงปักกิ่ง ซึ่งไม่ใช่ย่านคนร่ำรวยเท่าย่านวิลล่าแห่งนี้ หรืออาจเปิดสโมสรขี่ม้าในเมืองอื่น ๆ ก็ได้ เพื่อตอบสนองความนิยมขี่ม้าของผู้คนแดนมังกร ที่นับวันจะสูงขึ้นทุกที
กำลังโหลดความคิดเห็น