รอยเตอร์ - จากผลสำรวจประจำปีของวานิชธนกิจรายใหญ่ของโลก เมอร์ริลล์ ลินช์ และ แคปเจมิไน บริษัทที่ปรึกษาชั้นนำ ระบุ ปัจจุบันจีนมีมหาเศรษฐีแซงหน้าญี่ปุ่นแล้ว โดยส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการ ที่ได้รับผลประโยชน์จากเศรษฐกิจที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วของจีน
โดยมหาเศรษฐีซึ่งมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิส่วนบุคคลไม่ต่ำกว่า 1 ล้านเหรียญสหรัฐ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกนั้นมี 56% อยู่ในประเทศญี่ปุ่น หรือคิดเป็นจำนวน 1.5 ล้านคน และญี่ปุ่นยังมีจำนวน “อภิมหาเศรษฐี” ซึ่งมีทรัพย์สินเกิน 30 ล้านเหรียญสหรัฐราว 5,300 คน ในขณะที่ประเทศจีนมีจำนวนอภิมหาเศรษฐีไม่ต่ำกว่า 6,000 คน
ขณะที่อินเดียและเวียดนามพบว่ามีเศรษฐีเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว และเช่นเดียวกับจีน ประเทศทั้งสองมีจำนวนเศรษฐีเงินล้านเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 20% เมื่อปีที่แล้ว ตามรายงานความมั่งคั่งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกระบุ โดยรวมแล้วในภูมิภาคนี้มีผู้มีฐานะมั่งคั่งราว 2.8 ล้าน ซึ่งคิดเป็น 1 ใน 3 ของประชากรเศรษฐีเงินล้านทั่วโลก
นอกจากนี้ รายงานยังระบุว่า เศรษฐีฮ่องกงซึ่งมีเงินมากกว่า 1 ล้านเหรียญสหรัฐจำนวน 95,000 คนนั้น มีมูลค่าทรัพย์สินเฉลี่ยอยู่ที่ 5.4 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในโลก โดยค่าเฉลี่ยทั่วโลกอยู่ที่ 4 ล้านเหรียญสหรัฐ
และเนื่องจากปัญหาตลาดหุ้นซบเซาในปีนี้ บวกกับวิกฤตการเงินทั่วโลก ก็ส่งผลกระทบต่อพอร์ตการลงทุน โดยในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมานักลงทุนผู้มีฐานะร่ำรวยในเอเชียแปซิฟิกได้ลดความเสี่ยงจากการลงทุนในตลาดหุ้นและอสังหาริมทรัพย์ โดยหันไปฝากเงินและลงทุนในตราสารหนี้แทน
โดยสตีเฟน คอร์รี นักกลยุทธศาสตร์การลงทุนเอเชียแปซิฟิก ของบริษัทบริหารจัดการความมั่งคั่งเมอร์ริล ลินช์ กล่าวว่า “ในอนาคตผู้มีฐานะร่ำรวยในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีแนวโน้มลดการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ในประเทศ และหันไปลงทุนในตลาดที่โตเร็วกว่า และให้ผลตอบแทนสูงกว่า อย่างเช่นในละตินอเมริกัน และยุโรปตะวันออก”
อย่างไรก็ตาม ผลการสำรวจคาดว่า เศรษฐกิจเอเชียที่ยังแข็งแรงนี้จะกระตุ้นให้จำนวนผู้มั่งคั่งขยายตัวขึ้น 8% ในปีนี้ และจะขยายตัวในระดับนี้ต่อไปอีก 4 ปีข้างหน้า โดยภายในปี 2010 ทรัพย์สินของพวกเขาจะมีมูลค่ารวมกันสูงถึง 13.9 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจาก 9.5 ล้านล้านเหรียญในปี 2007
ทั้งนี้ เศรษฐีในญี่ปุ่นส่วนใหญ่ร่ำรวยแบบสืบช่วงต่อ ทำให้พวกเขาเป็นนักลงทุนที่ชอบความเสี่ยงมากกว่าเศรษฐีในตลาดเกิดใหม่อย่างจีนและเวียดนาม ซึ่งร่ำรวยเป็นชั่วรุ่นแรกจึงไม่ค่อยกล้าเสี่ยงเท่าไร