ไชน่าเดลี่ - เป่าสตีล บริษัทผู้ผลิตเหล็กและเหล็กกล้ารายใหญ่สุดของจีน ยอมซื้อสินแร่เหล็กจาก BHP Billiton บริษัทส่งออกแร่เหล็กรายใหญ่อันดับ 3 ของโลกแพงขึ้นอีก 96.5% ซึ่งเป็นราคาเดียวกับที่เคยตกลงกับริโอ ทินโท (Rio Tinto) บริษัทเหมืองแร่แดนจิงโจ้ไปเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
บริษัท BHP ซึ่งมีฐานอยู่ในเมืองเมลเบิร์นได้ให้สัมภาษณ์เมื่อวันศุกร์ (4 ก.ค.) ว่า ตามข้อตกลงนี้ เป่าสตีล กรุ๊ป จะต้องจ่ายเงินเพื่อซื้อสินแร่เหล็กจาก BHP แพงขึ้นถึงร้อยละ 96.5% เป็นเวลา 12 เดือนเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เมษายนเป็นต้นไป นอกจากนี้บริษัทก็กำลังแสวงหาช่องทางตกลงเรื่องราคากับลูกค้าจีนรายอื่นๆ รวมทั้งลูกค้าในประเทศอื่นด้วย
ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี 2001 เป็นต้นมา ราคาแร่เหล็กได้พุ่งสูงขึ้นทำลายสถิติเกือบ 4 เท่า อันสืบเนื่องมาจากอุปสงค์ที่ถีบตัวสูง และต้นทุนของผู้ผลิตเหล็กที่เพิ่มขึ้น ด้านเมอร์ริลล์ ลินช์ แอนด์ โค เชื่อว่า ปีหน้าราคาแร่เหล็กจะเพิ่มขึ้นอีก 20% เนื่องจากอุปสงค์ที่มากแซงหน้าอุปทาน ขณะที่โครงการใหม่ๆ จะต้องล่าช้าออกไปอีก
“ไม่ใช่เรื่องน่าตกใจที่เห็น BHP ยอมรับราคาเดียวกับที่ริโอตั้งไว้ เพราะ BHP เป็นบริษัทที่เล็กที่สุดในบรรดา 3 ยักษ์ส่งออกแร่เหล็กไปยังจีน แต่เชื่อว่าในปีต่อไปราคาแร่เหล็กจะคงตัว หรือเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เนื่องจากการผลิตเหล็กเริ่มชะลอตัว” หลัว เหว่ย นักวิเคราะห์จากบริษัทไชน่า อินเตอร์เนชั่นแนล แคปิตอล คอร์ป (ซีไอซีซี) ซึ่งเป็นธนาคารเพื่อการลงทุนแห่งแรกของจีนกล่าว
ปัจจุบันบริษัท BHP จำหน่ายแร่เหล็กประมาณ 50% ให้แก่จีน ขณะที่ริโอขายประมาณ 55% ของสินแร่เหล็กที่มีให้แก่จีน และคาดว่าในปีนี้จีนอาจจะเพิ่มการนำเข้าสินแร่เหล็ก 14% คิดเป็น 435 ล้านตัน
อนึ่ง ราคาซื้อที่เป่าสตีลตกลงกับ BHP เมื่อวันศุกร์และกับริโอ ทินโทเมื่อวันที่ 23 มิถุนายนที่ผ่านมานั้น นับว่าสูงกว่าราคาที่ผู้ผลิตเหล็กหลายรายตกลงซื้อจากบริษัท Cia Vale do Rio Doce แห่งบราซิล ซึ่งเป็นผู้จำหน่ายแร่เหล็กรายใหญ่สุดของโลก ในราคาสูงขึ้น 71% เสียอีก
ซึ่งการยอมรับข้อเสนอขึ้นราคาสินแร่เหล็กดังกล่าวนั้นก็แสดงให้เห็นว่าชาติเศรษฐกิจเกิดใหม่อย่างจีน ยังคงมีความต้องการสินค้าโภคภัณฑ์อย่างแรงกล้า
อย่างไรก็ตาม การที่ต้องแบกรับราคาแร่เหล็กและถ่านโค้กที่แพงขึ้นนั้น ก็กระตุ้นให้เป่าสตีล, ปอสโก้ ของเกาหลีใต้ และคู่แข่งรายอื่นๆ จำเป็นต้องปรับขึ้นราคาขายสินค้าของตนเองให้แก่ผู้ผลิตรถยนต์และผู้รับเหมาก่อสร้างเพื่อผลักภาระต้นทุนที่สูงขึ้นนั่นเอง