หนังสือพิมพ์สากล – ราคาน้ำมัน ไฟฟ้า แก๊สดันให้ราคาสินค้าในไต้หวันพุ่งขึ้นไม่หยุด โดยดอกเบี้ยเริ่มโตตามไม่ทัน ด้านนักวิชาการชี้ว่านี่เป็นการเข้าสู่ยุคดอกเบี้ยติดลบ อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญได้เตือนว่าเนื่องจากการติดลบของดอกเบี้ยเกิดจากราคาสินค้าต้นน้ำ จึงไม่ควรผลีผลามนำเงินไปลงทุน และหากจะลงทุนก็ควรเลือกน้ำมัน ทองคำ และทรัพยากร
ขณะที่ในเดือนมิถุนายน ราคาน้ำมันจะมีการปรับขึ้นไปอีกครั้ง ส่วนราคาไฟฟ้า และแก๊สในไต้หวันก็จะมีการปรับขึ้นอีกครึ่งหนึ่งในเดือนกรกฎาคม ราคาสินค้าหลายตัวจึงจ่อคิวเตรียมปรับขึ้นตามกันเป็นแถว ในขณะที่ดอกเบี้ยธนาคารยังอยู่ในอัตราที่ต่ำ ทำให้ในครึ่งปีหลังของไต้หวันนั้น ไม่เพียงแต่จะต้องกลับไปเผชิญหน้ากับยุคดอกเบี้ยติดลบอีกครั้ง เนื่องจากดอกเบี้ยเงินฝากที่อยู่ในธนาคาร ไม่สามารถโตทันเงินเฟ้อที่พุ่งแบบติดปีก
เพื่อที่จะแก้ปัญหาดอกเบี้ยติดลบ ผู้เชี่ยวชาญได้ระบุว่า ธนาคารกลางของไต้หวันควรจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งใหญ่ เนื่องจากตลอดเวลา 3.5 ปีที่ผ่านมา ธนาคารกลางได้มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยทั้งสิ้น 15 ครั้งคิดเป็นร้อยละ 2.125 ทว่าจากการที่เงินเฟ้อยังคงเดินหน้าสูงขึ้นอย่างไม่หยุด ทำให้ตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ของปีที่แล้วเป็นต้นมา ดอกเบี้ยที่เคยเป็นบวกได้กลายเป็นดอกเบี้ยติดลบไปแล้ว อีกทั้งในเดือนมิถุนายนซึ่งเป็นช่วงที่จะมีการปลดปล่อยการแช่แข็งราคาน้ำมัน หากธนาคารกลางยังไม่ยอมปรับขึ้นดอกเบี้ย ก็จะทำให้ไต้หวันยากพ้นจากปัญหาดอกเบี้ยติดลบได้
“เมื่อก่อนซื้อกระดาษชำระก็ในปริมาณที่ใช้สำหรับ 1 เดือน เดี๋ยวนี้อาจจะเลือกซื้อสำหรับ 3 เดือนหรือว่า ทั้งปีไปเลย จ่ายเงินมากขึ้นกลับคุ้มค่ากว่า” คุณหวง เผยจื๋อจากแผนกบริหารความมั่งคั่งของธนาคารซิติกได้ระบุว่า ในยุคที่ดอกเบี้ยติดลบนี้ หากคุณฝากเงิน 100 เหรียญ เมื่อผ่านไป 1 ไปรวมดอกเบี้ยแล้วคุณอาจจะเหลือมูลค่าจริงแค่ 98 เหรียญ ดังนั้นของยิ่งซื้อช้าจึงยิ่งไม่คุ้ม
ยกตัวอย่างเช่น สมมติคุณจางซันไปฝากเงินที่ธนาคาร 100,000 เหรียญ โดยมีแผนการว่าจะไปเที่ยวที่อิตาลี แล้วคิดว่าอดทนรออีกสักหน่อยจะได้เอากำไรจากดอกเบี้ยไปเป็นทุนเพิ่มสำหรับการไปเที่ยว แต่นึกไม่ถึงว่าอีก 1 ปีให้หลังราคาทัวร์ไปอิตาลีเพิ่มขึ้น 3% ในขณะที่ดอกเบี้ยเงินฝากประจำอยู่ที่ 2.6% เช่นนี้ไม่เพียงแต่เป็นการรอเปล่า ยังขาดทุนเงินที่จะไปซื้อของอีกจำนวนหนึ่งด้วย
นี่เป็นหนึ่งในหลายๆตัวอย่างที่จะเกิดขึ้นในยุคดอกเบี้ยติดลบ ซึ่งจะทำให้รายได้จริงที่ได้มานั้นค่อยๆหายไปอย่างไม่รู้ตัว ทว่าต่อคำถามที่ว่าในภาวะเช่นนี้ควรจะเบิกเงินออกมาลงทุน เพื่อรับมือกับเงินเฟ้อหรือไม่ นายหวงตอบว่า ก่อนอื่นจะต้องรู้ว่าเงินเฟ้อในครั้งนี้มีรูปแบบอย่างไร เพราะในอดีต เงินเฟ้อในไต้หวันเคยเกิดขึ้นเพราะเศรษฐกิจร้อน ดังนั้นเมื่อเศรษฐกิจดีก็สามารถที่จะเบิกเงินเพื่อมาลงทุนได้ แต่ในครั้งนี้ เงินเฟ้อเกิดจากราคาของน้ำมัน สินแร่ และทรัพยากรธรรมชาติที่เพิ่มขึ้น ทำให้ธุรกิจที่อยู่ปลายน้ำจำเป็นต้องขึ้นราคาสินค้า ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยปรับเพิ่มไม่ทัน จนราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้นคิดเป็นอัตราที่สูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคาร ในช่วงเวลานี้ตลาดหุ้นเองก็ยังผันผวน จึงไม่ควรลงทุนอย่างผลีผลาม โดยหากคิดจะลงทุนก็จะต้องพิจารณาให้ดีเช่นลงทุนในปัจจัยของเงินเฟ้อ อย่างหุ้นน้ำมัน ทองคำ ทรัพยากรเป็นต้น