ไชน่านิวส์ – ธนาคารกลางแห่งประเทศจีน (พีบีโอซี) ออกรายงานการดำเนินนโยบายการเงินไตรมาสแรกระบุ มีเงินจากต่างชาติไหลบ่าเข้าเก็งกำไรระยะสั้นจำนวนมหาศาล จีนจึงควรปฏิรูปการควบคุมเงินตราต่างประเทศอย่างรอบด้าน อีกทั้งควรเพิ่มอุปสงค์ การบริโภคภายใน และพัฒนาธุรกิจภาคบริการเพื่อแก้ไขโครงสร้างระบบเศรษฐกิจ
ธนาคารกลางแห่งประเทศจีนได้ออกรายงานการดำเนินนโยบายทางการเงินของจีนประจำไตรมาสแรกของปี 2008 โดยได้ระบุว่าขณะนี้ภาพรวมพื้นฐานเศรษฐกิจจัดว่ายังอยู่ในระดับค่อนข้างดี แต่ยังมีปัญหาต่างๆอยู่บ้างเช่นการดุลการค้าต่างประเทศที่ยังค่อนข้างมาก และเงินลงทุนตรงจากต่างชาติ (เอฟดีไอ) ที่ทะลักเข้ามา เป็นต้น โดยในไตรมาสแรกมีเงินทุนจำนวนมหาศาลที่ไหลบ่าเข้ามา อันเป็นผลจากการที่ปัญหาซับไพรม์ของสหรัฐฯ ยังส่งผลกระทบอย่างต่อเนื่อง ตลาดการเงินโลกมีความผันผวน จนทำให้ตลาดการเงินจีนกลายเป็นที่หลบภัยทางการเงินของนานาชาติ
โดยรายงานได้เสนอว่า จะต้องมีการปฏิรูประบบควบคุมเงินตราต่างประเทศทุกระบบ ขยายช่องทางไหลเข้าออกของเงินทุนอย่างมีขั้นตอน เพื่อให้สามารถควบคุมเงินตราต่างประเทศ และยังรักษาความสะดวกด้านธุรกรรมของบุคคลและนิติบุคคลไปพร้อมๆกัน
นอกจากนั้น ธนาคารกลางมองว่าในอนาคตอันใกล้ การเติบโตของเศรษฐกิจโลกยังมีความผันผวนไม่แน่นอน เมื่อใดที่อัตราของเงินระหว่างจีนกับสหรัฐฯมีความแตกต่าง ก็จะทำให้มีเงินทุนจากนานาชาติไหลเข้ามาเพื่อเก็งกำไรอย่างมากมายทันที จนทำให้เงินทุนระยะสั้นในจีนเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก จนเกิดเป็นความกดดันและเป็นปัญหาในด้านนโยบายทางการเงิน ดังนั้นจะต้องมีการควบคุมการเก็งกำไร ควบคุมเงินที่ไหลเข้าสู่ตลาดอสังหาริมทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ คู่ขนานไปกับมาตรการควบคุมเศรษฐกิจมหภาค
ขณะเดียวกัน ธนาคารกลางยังได้ชี้ว่า การที่เศรษฐกิจสหรัฐฯถดถอย ได้ทำให้จีนต้องประสบกับปัญหาอุปสงค์ภายนอกลดลง การแก้ปัญหาเงินหมุนเวียนที่ล้นเกินกับการควบคุมสินเชื่อตามปกติคงไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาเงินที่ไหลเข้าสู่โครงสร้างเศรษฐกิจอย่างมหาศาลได้ ดังนั้นจึงควรมีการขยายอุปสงค์ภายในเพิ่มขึ้น ควบคู่ไปกับนโยบายทางด้านภาษี ซึ่งการขยายอุสงค์ภายใน การบริโภคภายใน และผลักดันการพัฒนาของธุรกิจภาคบริการ จะช่วยแก้ปัญหาในด้านโครงสร้างได้
ซึ่งตามสภาพเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในช่วงไตรมาสแรก ขณะนี้ปัญหาเร่งด่วนที่ต้องแก้ไขคือ “ควบคุมการขึ้นราคาสินค้า และควบคุมอัตราเงินเฟ้อ” ทำให้ธนาคารกลางต้องเดินหน้านโยบายการคุมเข้มทางการเงิน และใช้มาตรการทางการเงินต่างๆในการควบคุมการขยายตัวอย่างรวดเร็วของการปล่อยสินเชื่อ เพื่อผลักดันให้เกิดความมั่นคงทางโครงสร้างเศรษฐกิจและการเงิน
ทั้งนี้เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาธนาคารกลางจีนสั่งปรับขึ้นอัตราเงินสำรองธนาคารพาณิชย์ขึ้นอีก 0.5% เป็น 16.5% เพื่อควบคุมอัตราการปล่อยสินเชื่อ และคุมภาวะเงินเฟ้อ โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 20 พฤษภาคมนี้เป็นต้นไป โดยการปรับครั้งนี้ห่างจากการปรับขึ้นอัตราเงินสำรองครั้งที่แล้วไม่ถึง 1 เดือน และนับเป็นการสั่งปรับขึ้นครั้งที่ 4 ของปีหลังกรมสถิติแห่งชาติจีนได้ประกาศเงินเฟ้อเดือนเม.ย.อยู่ที่ 8.5%