xs
xsm
sm
md
lg

“ลุงโง่ย้ายภูเขา” ความฝันเพื่อสิ่งแวดล้อม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ลุงต่งกับจักรยานสามล้อคู่ใจที่เตรียมตระเวนไปทั่วโลก
ในช่วงที่ผ่านมา กระแสการณรงค์เพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเริ่มแพร่หลายขึ้นเรื่อยๆ หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนก็ช่วยกันทำการประชามสัมพันธ์กันมากขึ้น แต่จะมีสักกี่คนที่เลือกจะเอาตัวเองเข้าไปในแต่ละที่ เพื่อไปบอกกับทุกคนว่า มาช่วยกันรักษาโลกกันเถอะ

ในเช้าวันหนึ่ง ลุงต่ง หรือคุณต่ง เป่าอี้ว์ชาวเจียงซู วัย 59 ปีได้ขี่จักรยานสามล้อคันหนึ่งเข้ามาที่บ้านพระอาทิตย์เพื่อมาบอกกล่าวถึงการรณรงค์อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและการประหยัดทรัพยากรธรรมชาติของเขา โดยคุณลุงผู้นี้ตั้งฉายาตัวเองว่า “ลุงโง่เพื่อสิ่งแวดล้อม” ซึ่งเจ้าตัวได้อธิบายว่า มาจากนิทานจีนเรื่องหนึ่งที่ชื่อว่า ลุงโง่ย้ายภูเขา ที่เดิมใครๆก็หัวเราะเยาะว่าทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่สุดท้ายเมื่อมีความมุ่งมั่นจริงใจ ลุงโง่ก็สามารถสร้างทางผ่านเขาที่สะดวกให้กับคนในหมู่บ้านได้สำเร็จ

ลุงต่งเล่าว่า ผมอายุ 59 ปี ตอนนี้เกษียณแล้ว เมื่อก่อนเคยทำงานฝ่ายประชาสัมพันธ์ในบริษัทค้าส่งพืชผักที่ไฮว๋ไห่ พอเกษียณแล้วก็เอาเงินที่เกษียณมาเป็นทุนในการออกมารณรงค์เรื่องสิ่งแวดล้อม ผมเริ่มออกแบบแล้วให้ช่างช่วยดัดแปลงจักรยาน 3 ล้อ จากนั้นก็ขี่ไปยังที่ต่างๆเพื่อบอกกล่าวให้คนหันมาสนใจเรื่องการอนุรักษ์ธรรมชาติมากขึ้น มาถึงวันนี้ก็ขี่ต่อเนื่องมา 4 ปีแล้ว

ทำไมถึงตัดสินใจออกมารณรงค์ในเรื่องนี้?

ที่ผมเลือกออกมารณรงค์เรื่องการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และการประหยัดทรัพยากรธรรมชาติ เพราะผมรู้สึกว่าเราจำเป็นต้องคิดถึงคนในอนาคต คิดถึงคนในรุ่นลูกรุ่นหลานของเรา คนทุกวันนี้ใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างสิ้นเปลืองมาก ดังนั้นต้องมองว่าทรัพยากรธรรมชาติหลายอย่างในโลกเรา ใช้แล้วก็หมดไป ไม่สามารถที่เกิดขึ้นมาใหม่ หรือเกิดขึ้นให้ทันใช้ได้ ถ้าหากพวกเราในรุ่นปัจจุบันใช้ทรัพยากรธรรมชาติไปจนหมด ลูกหลานในอนาคตก็จะไม่มีทรัพยากรให้ใช้อีก

นอกจากนั้น สิ่งแวดล้อมในโลกของเราก็เลวร้ายลงเรื่อยๆ อย่างเช่นภัยพิบัติจากสึนามิ หรือว่าจากพายุในพม่าที่เราเห็นกันในปัจจุบัน ส่วนหนึ่งก็มาจากระบบนิเวศน์ที่ถูกทำลาย เมื่อเราทำลายธรรมชาติ มันก็เกิดผลสะท้อนกลับมา ภัยพิบัติในหลายๆครั้งมีคนตายนับพันนับหมื่น มีครอบครัวที่ต้องพลัดพรากถูกทำลายเป็นหมื่น

สิ่งที่ผมต้องการ ก็คือการกระตุ้นจิตสำนึกของคนในโลก ในสังคมให้หันมาดีกับธรรมชาติให้มากขึ้น ใช้ทรัพยากรในโลกอย่างสมเหตุสมผลมากยิ่งขึ้น

ทำไมต้องจักรยานสามล้อ?

ผมมาในนามส่วนตัว มาเองคนเดียว เพราะที่ผ่านมาเวลาดูโทรทัศน์ เห็นข่าวว่าเกิดภัยธรรมชาติที่นั่นที่นี่ หรือว่ามีชีวิตมีครอบครัวที่ต้องประสบกับความสูญเสีย ก็รู้สึกปวดใจ ก็เลยคิดว่าควรจะทำอะไรสักอย่างก็เลยนึกถึงจักรยานสามล้อ

ที่เลือกใช้การขี่จักรยานสามล้อ ก็เพราะจักรยานใช้กำลังคนในการขับเคลื่อน ไม่ต้องสิ้นเปลืองพลังงานอีกทั้งไม่สร้างมลภาวะให้กับอากาศ ในจักรยานของมีพร้อมทุกอย่างทั้งหม้อ จาน ชาม ช้อน ส้อม เก้าอี้แล้วก็มีกล่องเอกสารสำหรับการประชาสัมพันธ์ อย่างวันก่อนผมก็เอาไปยืนแจกตามสวนสาธารณะ ก็มีคนให้ความสนใจไม่น้อย

ไปมาแล้วกี่ประเทศ?

ผมเริ่มต้นขี่รณรงค์ตั้งแต่ปี 2004 ใน 17 มณฑลของจีนไปเซี่ยงไฮ้ เจียงซู ซันตง เหอเป่ย เทียนจิน ปักกิ่ง เหอหนัน หูเป่ย เจียงซี หูหนัน อันฮุย เจ้อเจียง ฝูเจี้ยน (ฮกเกี้ยน) กว่างตง (กวางตุ้ง) ฮ่องกง ไห่หนัน กว่างซี (กวางสี) จากนั้นก็ขี่ต่อเข้าไปในเวียดนาม 26 จังหวัด กัมพูชา 10 จังหวัดแล้วก็มาถึงประเทศไทยเป็นประเทศที่ 4 ผมมาถึงเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม ตั้งเป้าว่าจะไปให้ครบทุกทวีป ซึ่งคำนวณคร่าวๆแล้วคิดว่าใช้เวลาประมาณ 15 ปี ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาก็ขี่มาแล้วประมาณ 30,000 กิโลเมตร พอครบ 15 ปีคิดว่าคงจะเป็นระยะทางประมาณ 150,000 กิโลเมตร

ครอบครัวว่ายังไง?

ทางครอบครัวทั้งภรรยาแล้วก็ลูกๆก็ให้การสนับสนุนดี ผมเองยังพกโทรศัพท์มือถือติดมาด้วย แล้วก็ส่งเอสเอ็มเอสติดต่อกันบ้างเป็นระยะๆ เพราะการส่งเอสเอ็มเอสจะถูกกว่า แค่ครั้งละ 2 หยวน แต่ถ้าโทรศัพท์จะนาทีละ 17 หยวน ผมจำเป็นต้องประหยัด เพราะค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่มาจากเงินสะสมกับเงินบำนาญที่มีอยู่ บางที่ที่ไปก็มีคนที่เห็นดีเห็นงามด้วย อยากจะสนับสนุนก็ให้ความช่วยเหลือมาบ้างเล็กน้อย แต่ส่วนใหญ่ก็ยังต้องพึ่งตัวเองเป็นหลัก ผมจึงทำอาหาร กินอยู่ แล้วก็นอนบนรถจักรยานสามล้อคันนี้ บางทีก็เก็บเศษไม้มาทำฟืน ใช้อิฐตั้งเป็นเตาก็หุงหากินได้แล้ว ส่วนเรื่องห้องน้ำ อาบน้ำ ก็จะอาศัยเวลาที่ไปประชาสัมพันธ์ที่ไหนก็อาจจะขอเขาใช้บ้างเป็นครั้งคราว
โฉมหน้าด้านในของตู้หลังจักรยานที่เป็นที่นอนและที่เก็บเสื้อผ้า เก้าอี้ และอุปกรณ์ยังชีพทั้งหลาย
รู้จัก “ผู้จัดการ” ได้ยังไง?

ก่อนหน้านี้ผมก็ไปเรื่อยๆ ไปตามเส้นทางในแผนที่ พอมาถึงกรุงเทพฯผมก็ดูจากร้านหรือสถานที่ที่มีป้ายภาษาจีน แล้วก็เลือกไปที่เหล่านั้น เมื่อเช้าผมไปที่สำนักพิมพ์ซื่อเจี้ยรื่อเป้า (หนังสือพิมพ์สากล) ที่เป็นหนังสือพิมพ์จีน แล้วเขาก็แนะนำต่อ เพราะยังไงคนอ่านหนังสือพิมพ์จีนในประเทศไทยก็มีจำกัด ผมเลยอยากจะมารณรงค์กับหนังสือพิมพ์ภาษาไทย โดยเฉพาะเป็นหนังสือพิมพ์ที่มีบุคลากรด้านภาษาจีนอยู่ ก็เลยเปิดแผนที่แล้วตรงมาที่นี่ ผมมีทั้งแผนที่ประเทศไทย แล้วก็แผนที่กรุงเทพฯ

หลังจากนี้ก็จะขี่ไปจุดต่างๆในกรุงเทพฯสักระยะ จากนั้นก็ต่อไปทางภาคใต้ แต่คงจะหลบอ้อม 3 จังหวัดชายแดนไป เพราะมีคนบอกผมว่าที่นั่นไม่สงบ แล้วก็อันตราย แล้วก็ไปประเทศมาเลเซีย จากนั้นค่อยต่อไปที่สิงคโปร์ อินโดนีเซีย บรูไน ซึ่งผมได้ขอวีซ่ามาเลเซียล่วงหน้ามาแล้ว ส่วนวีซ่าของประเทศไทยผมได้มา 60 วัน

ทำไมไม่ใช้วิธีจัดกิจกรรมใหญ่ๆ

คนจีนมีคำพูดที่ว่า “สอนด้วยการกระทำ รณรงค์ด้วยคำพูด” ตัวผมเองก็ใช้จักรยานสามล้อ ดำรงชีวิตด้วยการประหยัดทรัพยากร และไม่ทำลายธรรมชาติ สมมติว่าผมจัดกิจกรรมเช่นการสัมมนา หรือการปาฐกถาสักงาน แล้วผมก็บินมาบรรยาย มันอาจจะได้ผลไม่มากเท่าที่ควร และเข้าถึงคนได้น้อย แต่การขี่จักรยานของผม ผมไปที่ไหนก็ได้บอกกล่าวให้คนรู้ได้ถึงที่นั่น

ยกตัวอย่างเช่นก่อนจะมาถึงกรุงเทพฯ ที่มีอยู่หลายวันที่ผมผ่านจังหวัดต่างๆของไทย หลังจากที่ผมทำการไปประชาสัมพันธ์แล้ว ก็มีชาวบ้านเลี้ยงข้าวผม ชวนให้ผมนอนพักที่บ้าน สิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นกำลังใจที่ดี และทำให้ผมซาบซึ้งมาก

แต่ละวันไปไกลแค่ไหน?

ปกติเฉลี่ยแล้วผมเดินทางประมาณวันละ 30 -40 กิโลเมตร คือถ้าทางดีๆ จะขี่ได้ประมาณ 40 กิโลเมตร อย่างตอนอยู่ในเวียดนาม ไปเจอกับทางภูเขาเยอะ บางทีก็ต้องขี่อ้อมไป อย่างนี้จะขี่ได้วันละไม่มากนัก แถมบางครั้งก็เจอพายุ อย่างตอนอยู่ที่จีน หรือเวียดนาม ก็ต้องรีบขี่หลบพายุ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เกือบถูกพัดตกคลองเหมือนกัน นอกจากนั้นผมก็จะพกพวกอุปกรณ์สำหรับการซ่อมจักรยานเอาไว้ในจักรยานสามล้อมด้วย แค่ล้อรถนี่ผมก็เปลี่ยนมา 3 รอบแล้ว

ปัญหาด้านภาษาทำยังไง?

ตอนที่อยู่ในประเทศจีนไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไหร่ พอไปที่เวียดนาม ผมจะเลือกพุ่งเป้าไปที่คนจีนที่พอจะรู้ภาษาจีนที่นั่นก่อน จากนั้นก็จะขอให้เขาช่วยเขียน แล้วก็สอนคำที่ใช้บ่อยๆ ซึ่งคำพวกนี้ตอนนี้ผมก็พอเขียนได้

ส่วนประเทศไทย จะลำบากกว่าหน่อย ผมก็ยังพยายามมองหาคนจีน สถานที่ที่มีป้ายเป็นภาษาจีน แล้วก็ใช้วิธีแจกเอกสารการณรงค์ เอกสารของผมมีภาษาจีนกับที่ขอให้คนช่วยแปลเป็นภาษาอังกฤษเอาไว้ที่รถ ซึ่งต้องยอมรับว่าเรื่องภาษาเป็นอุปสรรคที่ใหญ่พอสมควร แต่ผมก็จะพยายามหาวิธีผ่านมันไปให้ได้

คนจีนมีจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมแค่ไหน?

ตอนนี้ดีขึ้นเยอะ ผู้บริหารประเทศทุกวันนี้ไม่เหมือนคนในรุ่นเก่าๆ ที่สนใจแต่เรื่องการเมือง คนในปัจจุบันมีความรู้ เข้าใจระบบนิเวศน์กว่าเมื่อก่อน จึงเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่นการยกระดับกรมรักษาสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ให้ขึ้นมาเป็นกระทรวงรักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่งถือเป็นความก้าวหน้าอย่างหนึ่ง

นอกจากนั้นประธานาธิบดีหู จิ่นเทา กับนายกรัฐมนตรีเวิน เจียเป่า ก็ได้พยายามผลักดันนโยบายประหยัดทรัพยากร และการใช้ทรัพยากรหมุนเวียน เพื่อให้สามารถใช้ทรัพยากรธรรมชาติให้คุ้มค่ามากที่สุด

“โอลิมปิกปักกิ่ง”ก็ผลาญทรัพยากรโลกไปไม่น้อย?

การจัดมหกรรมกีฬาโอลิมปิกปักกิ่ง เรื่องนี้นอกจากถือเป็นกิจกรรมใหญ่ของจีนแล้ว ยังถือเป็นกิจกรรมใหญ่ของโลกด้วย ดังนั้นเมื่อเป็นเรื่องของโลก ก็จำเป็นจะต้องทำให้ดีที่สุด ดังนั้นประหยัดไม่ได้แปลว่าไม่ได้ใช้เงิน

ส่วนในเรื่องทรัพยากร เมื่อเปรียบเทียบดูแล้วจีนอาจจะใช้ทรัพยากรมากกว่าประเทศอื่นๆที่เคยเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิก แต่นั่นก็เป็นเพราะว่าประเทศอื่นๆที่ผ่านมา มักจะมีระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานที่ดีอยู่แล้ว ในขณะที่จีนยังมีไม่เท่า จีนจึงจำเป็นต้องลงทุนทำการปรับปรุงขนานใหญ่ไปพร้อมๆกัน นอกจากนั้นจีนยังมีความจำเป็นในอีกหลายด้านอย่างเช่นจีนไม่มีสนามกีฬามาตรฐานระดับโลกขนาดใหญ่ หรือสนามแข่งว่ายน้ำที่เพียงพอสำหรับการแข่งกีฬาโอลิมปิก ก็เลยต้องสร้างขึ้นมา

ทำไมไม่ไปทิเบต?

เพราะว่าที่นั่นยังไม่เป็นมลพิษ เมื่อก่อนนี้ตอนที่ทำงานอยู่ผมเคยไปที่ทิเบต ท้องฟ้าที่นั่นเป็นสีฟ้าจริงๆ เป็นท้องฟ้าที่สวยมาก อีกอย่างที่นั่นก็มีคนน้อย เฉลี่ยแล้วประมาณตารางกิโลเมตรละคนเท่านั้น แถมที่นั่นมีเส้นทางภูเขาเยอะ ไม่แน่ว่าจักรยานสามล้อของผมจะไปไหว แต่ที่สำคัญก็คือเวลาไปรณรงค์ เราต้องเลือกไปในที่ที่มีมลพิษ และมีคน เพื่อจะให้การรณรงค์บังเกิดประสิทธิภาพสูงสุด

อยากบอกอะไรกับคนไทย?

โดยส่วนตัวผมอยากจะบอกกับคนไทย โดยเฉพาะคนกรุงเทพฯว่าเราควรจะลดปริมาณการใช้รถยนต์ลง อยากจะให้ลดลงสักครึ่งหนึ่ง แล้วหันไปใช้รถโดยสารสาธารณะแทน เพราะจากสภาพถนนกรุงเทพฯที่เห็น ต่อให้ขับรถเองก็ไม่แน่ว่าจะเร็วกว่ากันมากนัก

หลายคนอาจจะรักความสบาย แต่อยากให้รู้ว่าการได้ขี่จักรยาน การได้เดินนั้นนอกจากจะไม่ก่อให้เกิดมลพิษแล้ว ยังเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพด้วย อย่าคิดว่าต่อให้เราไม่ขับคนอื่นก็ขับ ต่อให้เราไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมก็ช่วยอะไรไม่ได้มากเท่าไหร่ เพราะทุกอย่างต้องเริ่มจากตัวเรา เริ่มจากสิ่งเล็กๆ มันถึงจะทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้
กำลังโหลดความคิดเห็น