“เวลาฉันเห็นเด็กคนอื่นวิ่งเล่นกับเพื่อนๆในโรงเรียนอย่างร่าเริง หัวใจฉันแทบสลาย” คุณนายเหยียนกล่าว
เหยียน กับบรรดาคุณแม่อีก 11 คนต่างรวมตัวกันขอความช่วยเหลือจากสหพันธ์สตรีจีน หลังจากลูกของพวกเขา ถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าเรียนในโรงเรียนอนุบาล เนื่องจากตรวจพบว่าเด็กเหล่านั้นติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
เชื้อไวรัสตับอักเสบบี สามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีน นอกจากนี้ยังมียาที่ป้องกันการแพร่กระจายตัว ระงับอาการของไวรัสในผู้ติดเชื้อ
แม้เชื้อไวรัสตับอักเสบบีไม่ใช่โรคติดต่อที่ติดกันง่ายๆ โดยเชื้อไวรัสติดต่อกันได้ทางเลือดและน้ำคัดหลั่งต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น น้ำลาย, เสมหะ, น้ำนม และน้ำอสุจิ ผู้ที่เป็นโรคนี้จึงสามารถใช้ชีวิตอย่างคนปกติ ทว่าสำหรับผู้ติดเชื้อในจีนแล้วกลับมีข้อยกเว้น เพราะที่นี่ความหวาดกลัวไวรัสตับอักเสบบี ค่อนข้างรุนแรง เป็นสถานการณ์ที่ประหวั่นพรั่นพรึง เกินจริง
การโฆษณาเกินจริง ที่กระทำโดยผู้ผลิตยาโลภมาก อวดอ้างสรรพคุณยาวิเศษ ที่สามารถรักษาโรคร้ายได้ครอบจักรวาล ให้ภาพผู้ติดเชื้อที่น่ารังเกลียด หวาดกลัว เป็นโรคติดต่อร้ายแรง ชาวจีนจึงมีทัศนคติต่อผู้ติดเชื้อไวรัสในแง่ลบรุนแรง
แม้แต่สถานศึกษาอย่างโรงเรียน และมหาวิทยาลัย ยังตรวจเช็คว่า นักเรียนหรือเจ้าหน้าที่ที่ประสงค์จะเข้ามาทำงานในสถาบัน ติดเชื้อไวรัสหรือไม่
เด็กเล็กในวัยเรียนหากถูกตรวจพบเชื้อไวรัส จะถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าถึงการศึกษา ส่วนนักเรียนที่อายุมากและเข้าเรียนแล้วจะถูกขับออกจากสถาบัน ขณะที่บริษัทหลายแห่งก็ปฏิเสธรับผู้ติดเชื้อเข้าทำงาน ทว่าที่ร้ายสุด คือ ทัศนคติผิดๆเกินจริงนี้ ทำให้ “บ้านแตกสาแหรกขาด โดยเฉพาะเมื่อเป็นศึกระหว่าง แม่ผัว-ลูกสะใภ้”
ชิง ซง นักรณรงค์ช่วยเหลือเหยื่อไวรัสตับอักเสบบีเล่าว่า “หญิงสาวคนหนึ่งตั้งครรภ์ เธอไม่เคยรู้เลยว่า ตนเองติดเชื้อไวรัส เพิ่งมาตรวจพบตอนตั้งครรภ์แล้ว แม่สามีแนะให้เธอไปทำแท้ง รักษาสุขภาพของตนให้ดีก่อน แล้วค่อยตั้งครรภ์ใหม่ ทว่าเมื่อเธอทำแท้งเสร็จ เธอถูกบังคับให้หย่ากับสามี กระทั่งเธอถูกไล่ออกจากบ้านในที่สุด”
เชื้อไวรัสตับอักเสบบีระบาดในบางส่วนของเอเชีย และแอฟริกา โดยทั่วโลกมีผู้ติดเชื้อ 360 ล้านคน และจากจำนวนนี้ 1 ใน 3 หรือ 120-130 ล้านคนอยู่ในประเทศจีน
อัตราการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีในจีนค่อนข้างสูง ทว่าสาเหตุที่ทำให้เกิดการติดเชื้อยังไม่แน่ชัดว่า เป็นเพราะพันธุกรรมหรือไม่
เมื่อเทียบสัดส่วนกับประชากรจีนทั้งหมดแล้ว อาจเฉลี่ยได้ว่ามีประชากรเพียง10% เท่านั้นที่ติดเชื้อ ทว่าหากนำมาเปรียบเทียบรายมณฑลจะพบว่า ที่มณฑลตอนใต้อาทิกว่างตง (กวางตุ้ง) และกว่างซี (กวางสี) มีอัตราผู้ติดเชื้อสูงถึง 17%
ทั้งนี้คาดว่าสาเหตุการติดเชื้อมาจากการติดต่อทางพันธุกรรมจากแม่สู่ลูก, การร่วมเพศ, ถ่ายเลือด และการใช้เข็มฉีดยาซ้ำหลายรอบ ซึงเป็นเหตุสำคัญที่ทำให้เด็กจำนวนมากติดเชื้อ
โดยปกติระบบภูมิคุ้มกันของวัยรุ่นสามารถต้านเชื้อไวรัสได้ ทว่าสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ ระบบภูมิคุ้มกันของพวกเขายังไม่แข็งแรงเพียงพอ เมื่อติดเชื้อก็จะติดเรื้อรังไปตลอดชีวิต
ยาอาจช่วยควบคุมเชื้อไม่ให้เติบโตได้ แต่ไม่สามารถรักษาให้หายขาด เมื่อติดเชื้อแล้วพวกเขามีอัตราเสี่ยงถึง 1 ใน 4 ที่เชื้ออาจพัฒนาก่อให้เกิดโรคตับแข็ง หรือมะเร็งที่ตับ
ตั้งแต่ปี 2002 รัฐบาลจีนจัดบริการฉีดวัคซีนฟรีสำหรับทารกเกิดใหม่ ทว่าการให้บริการดังกล่าว ยังไม่ครอบคลุมเท่าที่ควร ทารกในเขตเมืองมักได้รับวัคซีนมากกว่าทารกในชนบท
นอกจากนี้ช่วงที่ผ่านมา รัฐบาลยังพยายามยุติการเลือกปฏิบัติต่อผู้ป่วยเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ด้วยการลื้อกฎห้ามผู้ติดเชื้อเข้าทำงานในภาครัฐทิ้ง และเมื่อปีที่แล้วรัฐบาลยังจัดการ สั่งห้ามไม่ให้บริษัทต่างๆใช้ผลการตรวจเชื้อไวรัสเป็นข้ออ้างในการปฏิเสธรับคนเข้าทำงานหรือไล่ออก
อย่างไรก็ตามกฎหมายอาจไม่ศักดิ์สิทธิ์ดั่งที่บัญญัติไว้
“นายจ้างไม่อ้างเหตุผลให้คุณลาออกอีกต่อไป พวกเขาเพียงเดินมาบอกว่า คุณเป็นอันตรายต่อคนอื่น หากคุณทำงานที่นี่อาจถูกคนอื่นเหยียดหยาม ท้ายที่สุดนายจ้างก็ชักจูงให้คุณลาออกเอง โดยที่พวกเขาไม่ต้องจ่ายอะไร” ทนายคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้ติดเชื้อกล่าว
“เชื้อไวรัสเป็นเหมือนตราบาปติดตัว เมื่อคุณคิดจะสมัครงาน, แต่งงาน หรือออกสังคม หากผู้คนรอบข้างรู้ว่า ‘คุณติดเชื้อไวรัส’ พวกเขาจะออกอาการขยะแขยงปฏิเสธร่วมเสวนากับคุณ เพราะพวกเขากลัวติดเชื้อ” อา เผิง ผู้ผิดหวังจากการสมัครงานที่โรงแรมแห่งหนึ่ง เนื่องจากถูกพบว่า ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีกล่าว
วอลเตอร์ ซุย หลบลี้การตรวจเชื้อที่บริษัทมาได้ถึง 3 ปี ทว่าในที่สุดเมื่อเขาถูกจับตรวจ ความเครียด และบรรยากาศรอบข้างที่อึมครึมทำให้เขาต้องตัดสินใจลาออกจากงาน พร้อมเก็บกระเป๋าโบกมือลาแผ่นดินจีนในที่สุด เพราะสังคมกดดันเขาอย่างรุนแรง
“คุณจินตนาการไม่ถูกหรอกว่า สิ่งที่ผมเจอร้ายแรงขนาดไหน เมื่อเพื่อนร่วมงานรู้ว่าคุณติดเชื้อ ผู้คนรอบข้างต่างเห็นแก่ตัว และขาดความรู้ที่แท้จริง เป็นเพราะรัฐบาลและแพทย์บางคนให้ข้อมูลผิดๆ” ซุย ผู้ลี้หายไปทำงานที่สถาบันวิทยาศาสตร์ในแอฟริกาใต้กล่าว
อา เทียนผู้ติดเชื้ออีกรายเล่าว่า “เพื่อนของผมที่โตมาด้วยกัน ตายตั้งแต่อายุ 26 ปี เขาตายเพราะกินยาเกินขนาด หมอบอกกับเขาว่า หากเขากินยานี้ โรคตับอักเสบบีจะหายขาด”
“เพราะความอยุติธรรม, ความทรมาน และแรงกดดันจากสังคม ทำให้เขาพยายามรักษาตัวเอง เพื่อจะได้มีที่ยืนในสังคมบ้าง”
“ผมผิดตรงไหนที่ป่วย เชื้อไวรัสทำลายงานและชีวิตรักของผม จะมีอะไรที่แย่กว่านี้อีก? แม้แต่น้องชายแท้ๆของผม ยังไม่อยากนั่งรับประทานอาหารร่วมโต๊ะกับผมเลย บางครั้งผมก็คิดอยากฆ่าตัวตายให้พ้นปัญหา” อา เทียนกล่าว