เอเอฟพี-ไต้หวันชี้ หากหลินอี้ฟู รองประธานธนาคารโลก หรือหัวหน้าเศรษฐกรคนล่าสุด อดีตทหารกองทัพบกไต้หวันซึ่งหลบหนีมาจีนราว 30 ปีที่แล้ว กลับมายังไต้หวัน มีสิทธิ์ถูกจับดำเนินคดีในศาลทหาร ข้อหาหลบหนีออกนอกประเทศ ยี๋ว์ ซุนโฆษกกระทรวงกลาโหมไต้หวันกล่าวเมื่อวันพุธ(6 ก.พ.)
คำขู่ดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่ หลินอี้ฟู(จัสติน หลิน) วัย 55 ปี กล่าวในปักกิ่งเมื่อวันอังคาร(5 ก.พ.)หลังได้รับแต่งตั้งเข้าดำรงตำแหน่งอันทรงเกียรติ แทน ฟรังซัวร์ บูร์กียงเมื่อวันจันทร์(4 ก.พ.)ว่า ตนอยากกลับไต้หวันเพื่อไปเคารพศพของพ่อแม่ ไชน่า ไทมส์ รายงาน
นับว่าหลินเป็นชาวจีนคนแรกที่ดำรงตำแหน่งรองประธานธนาคารโลก ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการกำหนดประเด็นวาระวิจัย และชี้นำทิศทางด้านวิชาการ ซึ่งก่อนหน้านี้เขาเป็นคลังสมองสำคัญของคณะรัฐมนตรี โดยให้คำปรึกษาแก่รัฐบาลจีนในด้านนโยบายเศรษฐกิจมหภาค,นโยบายชนบท และการพัฒนาต่างๆ
“หลินถือเป็นผู้ที่หนีออกนอกประเทศ ซึ่งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจะพิจารณาว่า คดีความของหลินหมดอายุความแล้วหรือไม่”ยี๋ว์กล่าว
ทั้งนี้ หลิน พื้นเพเป็นคนอำเภออี้หลันทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไต้หวัน เมื่ออายุ 26 ปี ดำรงตำแหน่งเป็นผู้บังคับบัญชาในกองทัพไต้หวันซึ่งประจำการอยู่ที่เกาะจินเหมิน ใกล้กับจีนแผ่นดินใหญ่ ปี 1979 เขาลักลอบว่ายน้ำข้ามช่องแคบเพื่อมาศึกษาต่อยังแผ่นดินใหญ่ ซึ่งตรงกับช่วงที่เติ้งเสี่ยวผิง กำลังเริ่มนโยบายปฏิรูปและเปิดประเทศ
ขณะนั้น ทางกองทัพไต้หวันไม่ทราบว่าหลินแอบหนีมายังแผ่นดินใหญ่ จึงขึ้นทะเบียนเขาในฐานะผู้สูญหายอย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ดี ในปี 2002 เรื่องของหลินก็แดงขึ้นมา เมื่อเขาขอทางการไต้หวันมาเข้าร่วมพิธีศพบิดา ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้แยกออกเป็น 2 ฝ่ายคือ ฝ่ายที่อนุญาตให้หลินเข้าไต้หวันได้โดยยึดหลักมนุษยธรรม อีกฝ่ายยืนกรานจะลงโทษหลิน พร้อมเรียกร้องให้เขาคืนเงินช่วยเหลือที่ทางกองทัพมอบให้แก่พ่อแม่ของเขาจำนวน 1 ล้านเหรียญไต้หวัน
อย่างไรก็ดี อายุความคดีอาญาขั้นร้ายแรงของไต้หวันคือ 20 ปี ซึ่งถือว่าคดีของหลินหมดอายุความลงแล้ว แต่เจ้าหน้าที่บางรายแย้งว่า การหลบหนีของหลินเพิ่งเปิดเผยเมื่อ 6 ปีที่แล้วเท่านั้น จึงถือว่าคดียังไม่หมดอายุความ และบทลงโทษของการหลบหนีออกนอกประเทศของไต้หวันคือ ประหารชีวิต.
