xs
xsm
sm
md
lg

กะเทาะชีวิตกุ๊กหนุ่มจีน "ขุดทอง"กว่า200ล้าน$ในแดนน้ำแข็งที่คนเมินเข้าลงทุน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


กุ๊กหนุ่มจีนฝันไกล เดินทางเสี่ยงโชคร่วมกับเพื่อนสู่แดนหมีขาว หวังโกยเงินจากธุรกิจสินค้าจีนที่ล่ำลือกันมานาน สุดท้ายเจอทางตัน ฝ่ายเพื่อนถอดใจกลับบ้านเกิด แต่กุ๊กหนุ่มผู้ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา ต่อสู้บากบั่นสร้างเนื้อสร้างตัวในโลกน้ำแข็งที่คนต่างถิ่นขยาดเข้าลงทุน จนก้าวขึ้นเป็นมหาเศรษฐีร้อยล้านเหรียญสหรัฐภายในเวลาเพียง 5 ปี

ซุนเจี้ยนเทา เป็นหนุ่มเมืองไท่หยวน จากมณฑลซันซี ทางภาคเหนือของจีน พ่อของเขาเป็นพ่อครัวใหญ่ในโรงแรมห้าดาวแห่งหนึ่ง เนื่องจากเลื่อมใสฝีมือการทำอาหารของพ่อมาตั้งแต่เด็ก เขาจึงค่อยๆฝึกปรือฝีมือกับพ่อเรื่อยมา และขณะที่ศึกษาอยู่มหาวิทยาลัยเป่ยจิงจิงเม่า ซุนก็ทำงานพิเศษเป็นพ่อครัวในร้านอาหารแห่งหนึ่งในปักกิ่ง เขาอาศัยจังหวะนี้ฝึกทำอาหารชาววังเสริฟ์ลูกค้า ผลกลายเป็นว่า เมนูอาหารชาววังของซุนกลายเป็นอาหารขึ้นชื่อของร้าน

หลังจากที่จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยใน 2002 ซุนออกเดินทางไปเสี่ยงโชคในรัสเซียกับเพื่อนสนิทอีกคน เพราะเขาได้ยินมาว่าธุรกิจเสื้อผ้าและร้านสะดวกซื้อสินค้าจากจีนไปได้สวยมาก ได้กำไรเท่าตัว แต่พอมาถึงกรุงมอสโค เมืองหลวงของรัสเซีย ถึงได้รู้ว่า คำเล่าลือนี้ เป็นจริงเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ตอนนั้น ทันทีที่สินค้ามาถึงตลาด คนท้องถิ่นก็แย่งกันซื้อชนิดแทบเหยียบกันตาย แต่พอนานวันเข้า มีชาวจีนมาเปิดร้านมากขึ้น การแข่งขันก็ดุเดือดขึ้น บวกกับภาษีที่สูงมากขึ้น หลายเจ้าจึงทยอยปิดตัวกลับประเทศจีนในที่สุด

เมื่อพบว่า ความจริงไม่สวยหรูอย่างที่ได้ยินมา เพื่อนของซุนถอดใจกลับเมืองจีนทันที แต่หนุ่มน้อยซุนกลับคิดว่า ประเทศรัสเซียออกกว้างใหญ่ขนาดนี้ ทั้งยังเป็นแหล่งผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ คงต้องมีอะไรอื่นให้กอบโกยบ้าง จึงตัดสินใจอยู่ต่ออีกสักระยะ เขาจำใจยกเลิกแผนทำธุรกิจแล้วไปสมัครเป็นลูกมือในร้านอาหารจีนที่ชาวไต้หวันเป็นเจ้าของอยู่ ด้วยฝีมือที่เป็นยอด ซุนก้าวขึ้นเป็นพ่อครัวของร้านอาหารในเดือนนั้นเอง

เมื่อปัญหาเรื่องปากท้องหมดไป ซุนที่คิดอยู่ตลอดเวลาว่า ไม่อยากเป็นลูกจ้างไปจนตาย ในเดือนธันวาคม ปี 2002 เพื่อนชาวรัสเซียของเขาชวนไปเที่ยวที่เมืองมูรมันสค์(Murmansk) ซึ่งตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งมหาสมุทรอาร์กติก เจ้านายชาวไต้หวันเล่าให้ซุนฟังว่า มูรมันสค์เป็นเมืองเล็กห่างไกลความเจริญที่ตั้งอยู่บริเวณเส้นอาร์กติด เซอร์เคิล ที่นั่นปกคลุมด้วยน้ำแข็งตลอดปี มักมีพระอาทิตย์ตลอดวัน หรือมืดตลอดวัน แต่ละปี คนเมืองนี้ ใช้ชีวิตแบบหมีจำศีลถึงครึ่งปี น่าไปตรงไหน? ได้ยินเช่นนี้ ซุนจึงไปถามเพื่อนชาวยุโรปว่าเคยไปที่นั่นไหม ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า มูรมันสค์เป็นเมืองที่มีสภาพอากาศเลวร้ายมาก ใครไปก็บ้าแล้ว

แต่พอไปถึงที่นั่น ซุนกลับพบว่า ผู้คนเข้าใจผิดเมืองนี้อย่างมาก เพราะสถานีรถไฟที่นี่ก่อสร้างได้อลังการงดงามมาก อากาศภายในตัวเมืองหนาวกว่ากรุงมอสโคเพียงเล็กน้อย ตามท้องถนนเต็มไปด้วยผู้คน ร้านรวงมีผู้คนคับคั่ง ยิ่งรู้จักเมืองนี้มากเท่าไหร่ ซุนยิ่งสัมผัสได้ถึงความน่าอัศจรรย์และความโดดเด่นของมูรมันสค์มากยิ่งขึ้น

คนในท้องที่เล่าให้ซุนฟังว่า ตอนฤดูร้อน จะมีนกนางนวลหลายแสนตัวบินมาที่นี่ ในตอนนั้น ท้องฟ้าและน้ำทะเลจะเป็นสีคราม แลเห็นเรือใบหลายลำแล่นอยู่ไกลลับตา สำหรับซุนเจี้ยนเทาแล้ว มันช่างเป็นทัศนียภาพที่งดงามเหลือเกิน แต่สิ่งที่สร้างความประหลาดใจให้ซุนมากที่สุดคือ ที่นี่ไม่มีชาวจีนแม้แต่คนเดียว แม้แต่ร้านอาหารจีนก็ไม่มี จุดประกายความคิดให้แก่ซุนว่า ในเมื่อทั่วโลกต่างนิยมอาหารจีน แล้วทำไมเขาจะไม่คว้าโอกาสทองนี้ เปิดร้านอาหารจีนขึ้นมาสักแห่งหล่ะ!

...จากพ่อครัวธรรมดาสู่บุคคลมีชื่อเสียงแห่งมูรมันสค์

เมื่อกลับมาถึงมอสโค ซุนนำแผนเปิดร้านอาหารไปเล่าให้เพื่อนพ้องฟัง ทุกคนต่างบอกว่า เขาเพี้ยนไปแล้ว “ใครจะไปเปิดร้านอาหารในโลกน้ำแข็งที่มีอากาศแปรปรวนขนาดนั้นได้” แต่ซุนยังยึดมั่นในความเชื่อของตนว่า มูรมันสค์เป็นเหมืองทองที่รอคนไปบุกเบิก

เนื่องจากการเปิดร้านในมูรมันสค์เป็นเรื่องไม่ยุ่งยากซับซ้อน และค่าเช่าก็ถูกมากจนน่าตกใจ ซุนจึงตัดสินใจเช่าอาคารขนาดพื้นที่ 200 ตารางเมตร เพื่อเปิดเป็นร้านอาหารจีนในชื่อ “จงกั๋วหลง” (มังกรจีน) ในวันที่ 8 มกราคม 2003 ปรากฎว่า ร้านของซุนได้รับความสนใจอย่างยิ่งจากคนในท้องถิ่น มีลูกค้ามาอุดหนุนไม่ขาดสาย รายการโทรทัศน์แห่งหนึ่งถึงกับมาขอถ่ายทำฝีไม้ลายมือการทำอาหารของเขาเลยทีเดียว

แม้ร้าน”จงกั๋วหลง”จะเล็ก แต่รายได้ไม่น้อยอย่างที่คิด เพราะอาหารของร้านนี้แม้จะแพง แต่ก็ได้รับการอุดหนุนคับคั่งจากลูกค้า เช่น เมนูแสนธรรมดาอย่างข้าวผัดไข่กับซุปหนึ่งถ้วย ราคาสูงถึงราว 40 หยวน(ราว 200 บาท)

นอกจากลูกค้าของร้านจะเป็นประชาชนทั่วไปแล้ว ทหารยังชอบมาอุดหนุนร้านของซุนด้วย ภายหลังซุนจึงทราบว่า มูรมันสค์เป็นหนึ่งในฐานทัพอากาศที่สำคัญทางตอนเหนือของรัสเซีย ซึ่งนายทหารรายหนึ่งเล่าให้เขาฟังว่า ในช่วงสงครามเย็น มูรมันสค์เป็นเขตหวงห้ามทางทหาร ที่ห้ามบุคคลภายนอกเข้ามาย่างกรายเด็ดขาด ดังนั้น โลกภายนอกจึงไม่ค่อยรู้จักมูรมันสค์กันนัก และสถานที่แห่งนี้เพิ่งเปิดรับโลกภายนอก หลังจากที่สหภาพโซเวียตล่มสลายได้ไม่นาน

ในช่วงไม่กี่เดือนแรกที่ซุนเปิดร้าน นอกจากพนักงานชาวรัสเซียไม่กี่สิบคนแล้ว ซุนรับหน้าที่เป็นทั้งคนจัดซื้อวัตถุดิบ,พ่อครัว และเจ้าของกิจการ งานที่ล้นมือทำให้เขามีเวลานอนเพียงวันละ 3-4 ชั่วโมงเท่านั้น ความคิดจ้างพ่อครัวมาจากประเทศจีนจึงผุดขึ้นมา

เพื่อนซึ่งเป็นนายทหารช่วยให้ซุนได้เข้าพบนายกเทศมนตรีของเมือง ซุนเล่าเรื่องที่ต้องการจ้างพ่อครัวจีน และต้องการนำเสนอวัฒนธรรมอาหารของจีนที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานและได้รับความนิยมไปทั่วโลกให้ชาวเมืองมูรมันสค์ได้รู้จัก นายกเทศมนตรีเห็นด้วยกับความคิดของซุนอย่างยิ่ง เขาสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการเอกสารวีซ่าให้ซุนอย่างเร่งด่วน พร้อมแจ้งข่าวดีกับซุนว่า ขณะนี้ ทางการได้จัดทำภาพยนตร์โปรโมทเมืองขึ้นมาชุด และกำลังจะถ่ายทำในประเทศต่างๆในอเมริกาเหนือและยุโรป

“อีกไม่นานนักท่องเที่ยวต่างชาติคงแห่กันมาที่นี่ ถึงตอนนั้น ธุรกิจของคุณต้องดีกว่านี้แน่” นายกเทศมนตรีให้กำลังใจ

ฤดูใบไม้ร่วงในปี 2004 พ่อของซุนปลดเกษียณจากตำแหน่งพ่อครัวในโรงแรมแห่งหนึ่งในไท่หยวน และเดินทางมารัสเซียพร้อมกับลูกมืออีก 6 คน เขารู้สึกประหลาดใจมาก เมื่อพบว่า ลูกค้าที่เข้ามาทานอาหารในร้านของลูกชาย ไม่เพียงจะมีหมอ,ทนายความ และดาราภาพยนตร์เท่านั้น แต่ยังมีนายทหารและเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงด้วย นอกจากนี้ ซุนยังได้ออกรายการทีวีบ่อยๆ จะว่าไป ลูกชายของเขาก็กลายเป็น”คนดัง”ของมูรมันสค์ไปแล้ว

...เดินหน้าพัฒนาฝีมือ

ฤดูร้อนปี 2004 นักท่องเที่ยวจากทั้งยุโรปและอเมริกาหลั่งไหลกันมายลความงามของมูรมันสค์ ขณะนั้น ซุนมีร้านอาหารถึง 3 สาขา หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีร้านอาหารฝรั่งเศส,ตุรกี,เม็กซิกัน และร้านอาหารชาติอื่นๆผุดตามมามากมาย เพื่อรักษาความได้เปรียบในสนามแข่งขัน ซุนอาศัยความแตกต่างของอาหารจีนและอาหารตะวันตก สร้างเมนูพิเศษขึ้นมาในชื่อ “ 1 จาน 2 แบบ”

โดยด้านซ้ายของเมนู เป็นอาหารจีนแบบตะวันตก ลักษณะน้ำข้นเน้นรสหวาน ด้านขวาของเมนูจะเป็นอาหารจีนแบบดั้งเดิม ซึ่งจะเน้นสี, กลิ่น, รส, การจัดวาง อาศัยจุดเด่นของวัตถุดิบแต่ละอย่างมาเป็นตัวชูรส

ความสำเร็จของซุน สร้างความอิจฉาให้นักธุรกิจต่างชาติบางรายที่มาเปิดร้านอาหารในเมืองนี้แต่ไปได้ไม่สวยนัก คนเหล่านี้ปล่อยข่าวลือว่า ร้านของซุนใช้เนื้อสุนัขมาประกอบอาหร ร้อนถึงหน่วยงานคุ้มครองผู้บริโภครุดตรวจสอบถึงที่

ซุนอธิบายกับเจ้าหน้าที่อย่างใจเย็นว่า ข่าวลือนี้ อาจเกิดจากเมนู “โก่วปู้หลี่”ของร้าน ซึ่งเป็นชื่อเรียกซาลาเปาร้านดังของจีน (แปลเป็นไทยว่า "หมาเมิน หรือ สุนัขไม่มอง" ) และโก่วปู้หลี่ ไม่ใช่ซาลาเปาไส้เนื้อหมา แต่ประวัติมีอยู่ว่า เจ้าของร้านและเป็นทั้งเจ้าของสูตร คือ นายเกากุ้ยโหย่ว (高贵友) นั้นมามีบุตรเอาตอนอายุขึ้นเลข 4 ด้วยความที่อยากให้ลูกอยู่เย็นเป็นสุขเติบโตมาอย่างปลอดภัย จึงตั้งชื่อร้านว่า "ลูกหมา - โก่วจึ (狗子)"

พอเริ่มขายไม่นานชื่อเสียงก็ขจรกระจายไปทั่ว ลูกค้ามาอุดหนุนมากมาย ทำให้นายเกายุ่งเสียจนไม่มีเวลาจะทักทายกับลูกค้าเหมือนตอนเริ่มเปิดร้าน จนกระทั่งลูกค้าล้อกันว่า "ร้านโก่วจึขายแต่ซาลาเปา อะไรๆ ก็ไม่สน" หรือที่ภาษาจีนออกเสียงว่า "โก่วจึไม่เปาจึ อี๋ไก้ปู้หลี่: 狗子卖包子,一概不理"  นานวันเข้าประโยคดังกล่าวก็ติดปากจนถูกเรียกสั้นๆ ว่า "โก่วปู้หลี่ (狗不理)" และเป็นชื่อที่ลูกค้าเรียกร้านของนายเกาแทน "โก่วจึ" ซึ่งเป็นชื่อร้านที่นายเกาตั้งขึ้นแต่แรก

...มีรัก

เดือนเมษายน ปี 2006 สาวรัสเซียเจ้าของดวงตาสีฟ้า ผมบลอนด์ ร่างผอมเพรียว ก็เข้ามากุมหัวใจของซุน เธอชื่อ เอนาช่า ครูสาวโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง เธอจบจากมหาวิทยาลัยมอสโคว สเตท ในมูรมัสค์ พ่อและแม่ของเอนาช่าถูกใจลูกเขยต่างชาติผู้เอาการเอางานคนนี้มาก หลังจากที่ความรักของทั้งคู่สุกงอมเต็มที่ ทั้งสองตัดสินใจแต่งงานกัน และซื้อคฤหาสน์ขนาด 280 ตารางเมตรเป็นที่พักอาศัย

ต้นปี 2007 ซุนและพ่อของเขา เปิดโรงแรมขนาดใหญ่ซึ่งมีทั้งห้องพัก, ภัตตาคาร และสถานบันเทิงครบวงจร ชื่อ”จงกั๋วเฟิง” นับเป็นหนึ่งในโรงแรมระดับ 5 ดาวของมูรมันสค์

ไม่น่าเชื่อเลยว่า ซุนเจี้ยนเทา เศรษฐีจีนเจ้าของสินทรัพย์มูลค่ากว่า 230 ล้านเหรียญสหรัฐ(ราว 7,590 ล้านบาท)ในวันนี้ เมื่อ 5 ปีที่แล้ว เป็นหนุ่มจีนธรรมดาคนหนึ่งที่จากบ้านเกิดมาด้วยเงินในกระเป๋าเพียง 9,000 หยวน(ราว 45,000 บาท) และเป็นผู้สร้างความมั่งคั่งในดินแดนที่ไม่มีใครกล้าเข้าไปบุกเบิก

หลังจากที่โรงแรม”จงกั๋วเฟิง”เปิดตัว ธุรกิจในมูรมันสค์ขยายตัวอย่างรวดเร็ว พ่อของซุนกล่าวอย่างติดตลกว่า หากตอนนี้ลูกชายของเขายังอยู่ในประเทศจีน อย่างมากคงเป็นได้แค่”พ่อครัวชั้นสอง” และหากอยากซื้อบ้านสักหลัง คงต้องใช้เวลาเก็บเงินอีก 8-10 ปี

อดีตพ่อครัวผู้สูงวัย ถอนใจขณะทอดสายตาไปไกล แล้วกล่าวว่า เมื่อมองถึงความสำเร็จของลูกชายในวันนี้ เห็นได้ชัดว่า การบุกเบิกธุรกิจ บางครั้งต้องอาศัยวิสัยทัศน์และความกล้าอย่างยิ่ง

แปลเรียบเรียงจากไชน่า นิวส์



กำลังโหลดความคิดเห็น