เอเจนซี - รองนายใหญ่ผู้คุมกฎด้านการธนาคาร เชื่อ ธนาคารพาณิชย์มังกรเตรียมเผชิญศึกหนักจากความเสี่ยงด้านสินเชื่อในปีนี้ อันเป็นผลจากปัญหาซัปไพรม์ที่กระทบกระเทือนเศรษฐกิจทั่วโลก ผนวกกับการออกกฎควบคุมเศรษฐกิจมหภาคและการเงินที่เข้มงวดขึ้นภายในประเทศ
เจี่ยงติ้งจือ รองประธานคณะกรรมการกำกับกิจการธนาคารจีน (ซีบีอาร์ซี) เชื่อว่า “สภาพเศรษฐกิจและการเงินทั้งในประเทศและนอกประเทศจะมีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้นในปี 2008 และจีนจะเผชิญหน้ากับแรงท้าทายที่มากขึ้นในการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจและพัฒนาภาคการเงิน”
ความคิดเห็นของเจี่ยงได้ตอกย้ำปัญหาในภาคการธนาคาร ซึ่งส่อเค้าลางบ้างแล้วตามที่หม่าเว่ยหัว ประธานธนาคารเมอร์แชนท์ ได้ให้สัมภาษณ์กับรอยเตอร์เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า ปีนี้รายได้ของธนาคารฯ มีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบจากวิกฤตซัปไพรม์ของสหรัฐฯ และมาตรการราดน้ำเย็นเศรษฐกิจของรัฐบาลปักกิ่ง
ซึ่งปัจจัยอันจะส่งผลให้เกิดปัญหาในภาคธนาคารข้างต้นนั้น เจี่ยงเชื่อว่าปัญหาสินเชื่อด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ด้อยคุณภาพ (ซัปไพรม์) ในสหรัฐฯ เป็นแค่ปัจจัยหนึ่งเท่านั้น ยังมีสาเหตุอื่นๆ อีกที่ร่วมเสริมความรุนแรง ทั้งการที่เศรษฐกิจในประเทศร้อนแรงเกิน ปัญหาเงินเฟ้อ ราคาหุ้นผันผวน และราคาอสังหาริมทรัพย์ที่ดีดตัวสูง รวมไปถึงการที่รัฐบาลจีนพยายามเข็นมาตรการออกมาปกป้องสิ่งแวดล้อม
เจี่ยงอธิบายเสริมว่า “การที่รัฐบาลปักกิ่งเข็นมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ด้วยการควบคุมเศรษฐกิจมหภาคและการเงินนั้น จะเป็นตัวเร่งให้ธนาคารเผชิญความเสี่ยงด้านสินเชื่อเพิ่มมากขึ้น โดยจำนวนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPL จะยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ"
ทั้งนี้ในช่วงปลายปี 2007 ที่ผ่านมาอัตราหนี้เน่าของธนาคารพาณิชย์รายใหญ่ ลดลงเหลือ 6.7% จากปลายปี 2006 ซึ่งอยู่ที่ 7.5%
ขณะที่สถาบันการเงินจีนขนาดเล็ก ก็อาจจะต้องดิ้นรนเพื่อเพิ่มสภาพคล่อง เนื่องจากเมื่อเร็วๆ นี้ รัฐบาลปักกิ่งได้สั่งเพิ่มเงินสำรองธนาคารพาณิชย์ขึ้นอีกครั้ง เจี่ยงกล่าวพร้อมเสริมว่า การปฏิรูปอัตราแลกเปลี่ยนเงินระหว่างประเทศและอัตราดอกเบี้ยให้อิงตลาดมากขึ้นนั้นจะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้แก่ธนาคาร เพราะจะทำให้แบงก์บริหารจัดการความเสี่ยงในตลาดยากยิ่งขึ้น
ด้านแหล่งข่าววงในภาคธนาคารกล่าวว่า ในปี 2008 นี้ ปักกิ่งได้คุมเข้มโควตาการปล่อยสินเชื่อของธนาคาร โดยจำกัดจำนวนเงินที่ธนาคารสามารถปล่อยกู้ได้ในแต่ละไตรมาส
อย่างไรก็ตาม หวังหัวชิง เลขาธิการใหญ่ของคณะกรรมการควบคุมกฎระเบียบของซีบีอาร์ซีกล่าวว่า รัฐบาลจะดำเนินการเพื่อช่วยให้ธนาคารสามารถควบคุมความเสี่ยงอย่างเหมาะสม และรักษาอันดับความน่าเชื่อถือไว้ โดยการออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ๆ เพื่อกระตุ้นการพัฒนาของภาค
เจี่ยงติ้งจือ รองประธานคณะกรรมการกำกับกิจการธนาคารจีน (ซีบีอาร์ซี) เชื่อว่า “สภาพเศรษฐกิจและการเงินทั้งในประเทศและนอกประเทศจะมีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้นในปี 2008 และจีนจะเผชิญหน้ากับแรงท้าทายที่มากขึ้นในการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจและพัฒนาภาคการเงิน”
ความคิดเห็นของเจี่ยงได้ตอกย้ำปัญหาในภาคการธนาคาร ซึ่งส่อเค้าลางบ้างแล้วตามที่หม่าเว่ยหัว ประธานธนาคารเมอร์แชนท์ ได้ให้สัมภาษณ์กับรอยเตอร์เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า ปีนี้รายได้ของธนาคารฯ มีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบจากวิกฤตซัปไพรม์ของสหรัฐฯ และมาตรการราดน้ำเย็นเศรษฐกิจของรัฐบาลปักกิ่ง
ซึ่งปัจจัยอันจะส่งผลให้เกิดปัญหาในภาคธนาคารข้างต้นนั้น เจี่ยงเชื่อว่าปัญหาสินเชื่อด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ด้อยคุณภาพ (ซัปไพรม์) ในสหรัฐฯ เป็นแค่ปัจจัยหนึ่งเท่านั้น ยังมีสาเหตุอื่นๆ อีกที่ร่วมเสริมความรุนแรง ทั้งการที่เศรษฐกิจในประเทศร้อนแรงเกิน ปัญหาเงินเฟ้อ ราคาหุ้นผันผวน และราคาอสังหาริมทรัพย์ที่ดีดตัวสูง รวมไปถึงการที่รัฐบาลจีนพยายามเข็นมาตรการออกมาปกป้องสิ่งแวดล้อม
เจี่ยงอธิบายเสริมว่า “การที่รัฐบาลปักกิ่งเข็นมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ด้วยการควบคุมเศรษฐกิจมหภาคและการเงินนั้น จะเป็นตัวเร่งให้ธนาคารเผชิญความเสี่ยงด้านสินเชื่อเพิ่มมากขึ้น โดยจำนวนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPL จะยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ"
ทั้งนี้ในช่วงปลายปี 2007 ที่ผ่านมาอัตราหนี้เน่าของธนาคารพาณิชย์รายใหญ่ ลดลงเหลือ 6.7% จากปลายปี 2006 ซึ่งอยู่ที่ 7.5%
ขณะที่สถาบันการเงินจีนขนาดเล็ก ก็อาจจะต้องดิ้นรนเพื่อเพิ่มสภาพคล่อง เนื่องจากเมื่อเร็วๆ นี้ รัฐบาลปักกิ่งได้สั่งเพิ่มเงินสำรองธนาคารพาณิชย์ขึ้นอีกครั้ง เจี่ยงกล่าวพร้อมเสริมว่า การปฏิรูปอัตราแลกเปลี่ยนเงินระหว่างประเทศและอัตราดอกเบี้ยให้อิงตลาดมากขึ้นนั้นจะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้แก่ธนาคาร เพราะจะทำให้แบงก์บริหารจัดการความเสี่ยงในตลาดยากยิ่งขึ้น
ด้านแหล่งข่าววงในภาคธนาคารกล่าวว่า ในปี 2008 นี้ ปักกิ่งได้คุมเข้มโควตาการปล่อยสินเชื่อของธนาคาร โดยจำกัดจำนวนเงินที่ธนาคารสามารถปล่อยกู้ได้ในแต่ละไตรมาส
อย่างไรก็ตาม หวังหัวชิง เลขาธิการใหญ่ของคณะกรรมการควบคุมกฎระเบียบของซีบีอาร์ซีกล่าวว่า รัฐบาลจะดำเนินการเพื่อช่วยให้ธนาคารสามารถควบคุมความเสี่ยงอย่างเหมาะสม และรักษาอันดับความน่าเชื่อถือไว้ โดยการออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ๆ เพื่อกระตุ้นการพัฒนาของภาค
