หลายคนพอเห็นนามสกุล “อัมพุช” ของ “เพชร ณพัชร” อาจจะนึกถึงวงการค้าปลีกบ้านเรา แต่ผู้บริหารคนนี้เลือกเดินสายไฟแนนซ์ และเริ่มต้นงานแรกด้วยการทำงานในบริษัทวาณิชธนกิจ เน้นเกี่ยวกับการควบรวมกิจการ ก่อนจะเข้ามาโลดแล่นในสายไอที
“ครอบครัวอยากให้ผมทำธุรกิจของตัวเอง บวกกับตัวผมเองก็สนใจ เลยเลือกเรียนด้านไฟแนนซ์ แม้จะมีช่วงหนึ่งที่มีแตกแถวไม่ตั้งใจเรียนไปบ้าง แต่สุดท้ายก็พาตัวเองกลับมา และพยายามพิสูจน์ตัวเองให้ที่บ้านเห็นว่า เราสามารถเรียนในสิ่งที่อยากเรียนได้”
หลังจากทำงานในสายไฟแนนซ์ได้ 2-3 ปี เพชรก็ตัดสินใจเบนเข็มเข้าสู่ธุรกิจด้านไอที ซึ่งถ้าย้อนไป 10 ปีที่แล้ว ถือเป็นเทรนด์ใหม่ที่กำลังมาแรง เพราะเป็นยุคที่คนเริ่มหันมาใช้สมาร์ตโฟน มีโซเชียลมีเดีย อย่าง เฟซบุ๊ก และอินสตาแกรม
“ผมมองว่าเทคโนโลยีจะเป็นเมกะเทรนด์ถัดไป ดังนั้น ในเมื่อลมพัดมา ผมก็ไม่สวนกระแสลม แต่ผลักดันธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี เพราะส่วนตัวผมก็ชอบพวกแก็ดเจตและเทคโนโลยีอยู่แล้ว เลยศึกษามาเรื่อยๆ”
ปัจจุบัน นอกจากเพชรจะประสบความสำเร็จ ในฐานะซีอีโอของบริษัท คลาวด์ เอชเอ็ม จำกัด ที่เป็นผู้ให้บริการทางด้านคลาวด์กับองค์กรต่างๆ ทั้งในไทยและในภูมิภาคเอเชีย ล่าสุด เขายังนั่งแท่นเป็นกรรมการผู้จัดการ บริษัท มอร์เกน (Moorgen) (ประเทศไทย) จำกัด นำเข้าแบรนด์ลักชัวรี โฮมออโตเมชั่น (Luxury Home Automation) ชั้นนำของโลก จากประเทศเยอรมนี ที่ชื่อว่า “มอร์เกน” (Moorgen) มาเอาใจคนชอบแต่งบ้านอีกด้วย
“ส่วนตัวผมชอบอาร์ต ชอบดีไซน์ และชอบใช้เวลาอยู่บ้าน จากความชอบนี้เอง เลยทำให้ผมสนใจแบรนด์มอร์เกน เพราะเป็นแบรนด์ที่รวมสามสิ่งที่ผมชอบไว้ด้วยกันอย่างลงตัว นั่นคือ เทคโนโลยี อาร์ต และดีไซน์ ที่มาช่วยสร้างสุนทรียภาพอย่างเหนือระดับให้กับที่อยู่อาศัย”
ไหนๆ เพชรก็ออกตัวว่าชอบเรื่องอาร์ตและดีไซน์ทั้งที เลยถือโอกาสถามถึงบ้านในฝันที่เพชรวาดไว้ งานนี้ เจ้าตัวบอกว่า ตอนนี้ยังอาศัยอยู่บ้านคุณพ่อคุณแม่ แต่คิดว่าในอนาคตถ้ามีเวลาว่างมากขึ้น ก็อยากสร้างบ้านในฝันของตัวเอง ซึ่งแม้ว่าตอนนี้จะยังไม่ได้มีภาพที่ชัดเจน ที่แน่ๆ ก็รู้แล้วว่า หนึ่งในห้องที่เขาจะให้ความสำคัญเป็นพิเศษในบ้านคือ ห้องครัว เพราะเป็นคนชอบทำอาหาร
“ผมคิดไว้แล้ว ถ้าสร้างบ้านผมจะไม่ทำห้องครัวอยู่หลังบ้าน จะให้อยู่ในบ้าน เพื่อต้อนรับเพื่อนๆ เวลามาทำอาหารกินที่บ้านแบบชิลๆ ส่วนตัวผมเป็นคนชอบทำอาหารมาก แต่ไม่ชอบกินนะ หลายครั้งทำเสร็จแล้วแช่เข้าตู้เย็น แล้วก็แบ่งให้แม่บ้าน หรือน้องๆ ที่ออฟฟิศ ผมชอบทำอาหาร เพราะรู้สึกว่า เป็นกิจกรรมที่ทำให้ได้โฟกัส ที่สำคัญ เวลาทำอาหารรู้สึกว่าแทบทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุม ซึ่งแตกต่างจากโลกการทำงาน ที่หลายอย่างอยู่เหนือการควบคุม”
เพชรบอกว่า เขาไม่เคยเรียนทำอาหารจริงจัง แต่อาศัยเรียนรู้และทดลองทำมาตั้งแต่ 10 ขวบ สมัยก่อนก็อ่านจากตำราอาหาร พอหลังๆ มีอินเตอร์เน็ต ก็ศึกษาจากยูทูบ
“ช่วงไปเรียนต่อต่างประเทศ เหมือนเป็นช่วงที่บังคับให้ต้องเรียนรู้การทำอาหารเอง เมนูเด็ดของผมคือ พิซซ่า เวลาทำอาหารผมจะไปซูเปอร์ซื้อของเอง หลังๆ พอวิลล่า มาร์เก็ตแถวบ้านปิดไป ก็ใช้บริการสั่งออนไลน์ เพราะบางครั้งเลิกงานกลับบ้านมา 5 ทุ่มถึงเที่ยงคืน ผมก็ยังอยากทำอาหาร ทำเสร็จก็ไม่กิน แช่ในตู้เย็น อารมณ์ว่าขอแค่ได้ทำ”
แม้จะไม่ใช่เพราะความชอบทำอาหารซะทีเดียว แต่ก็อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้เพชรไปลงขันกับเพื่อนๆ ทำภัตตาคารอาหารญี่ปุ่น “โอชิเน” ซึ่งปัจจุบันมีอยู่มากกว่า 23 สาขา ทั้งในประเทศและประเทศเพื่อนบ้าน อนาคตก็อาจจะไปลงทุนในธุรกิจอาหารเพิ่มเติม ซึ่งเพชรบอกว่าจะเป็นแนวลงขันทำธุรกิจ แต่ไมได้เข้าไปบริหารโดยตรง
พอต้องบาลานซ์หลายบทบาทแบบนี้ แน่นอนว่า การบริหารเวลาถือเป็นสิ่งที่สำคัญ “ผมเป็นคนจริงจังกับงาน ผมคิดว่าการจะทำให้ Work Life Balance อาจจะยาก ผมยกตัวอย่าง ถ้าสมมติผมอยากเป็นนักบอลที่เก่ง สามารถเข้าทีมชาติ เป็นไปได้ไหมที่ผมจะซ้อมแค่เวลาว่าง เสาร์-อาทิตย์ เพราะอยากจะบาลานซ์กับการใช้ชีวิตไปเที่ยวกับเพื่อน ผมคิดว่ายาก คนที่อยากจะทำตามเป้าหมายต้องทุ่มเท และอาจจะต้องยอมสละเวลาส่วนตัว กับเพื่อนหรือครอบครัวเพื่อทำบางอย่าง เช่นเดียวกับการทำงาน ผมมีเป้าหมายชัดเจนว่าต้องการพาธุรกิจไปอยู่จุดไหน ดังนั้น ผมต้องทุ่มเท แม้วันนี้ธุรกิจจะเติบโตมาได้ไกล เราเริ่มจากศูนย์มาจนมีรายได้ 500 กว่าล้าน แต่ผมก็ยังมีเป้าหมายที่จะทำให้ธุรกิจแข็งแรงขึ้น”
แต่ถึงอย่างนั้น การใช้ชีวิตก็ไม่ได้มีแค่งาน ถ้ามีเวลาว่าง เพชรก็ยังไปสังสรรค์กับเพื่อนบ้าง หรือหากมีเวลาก็จะออกกำลังกาย ไปกินของอร่อย
“เวลาไปกินข้าวนอกบ้าน ผมไม่ได้เน้นบรรยากาศว่าร้านต้องสวย แต่เน้นที่รสชาติและความเป็นต้นตำรับของอาหารเป็นหลัก นอกจากอาหารผมก็มีความสุขกับการเสพงานอาร์ตอีกหลายอย่าง เพราะสำหรับผมอาร์ตไม่ใช่แค่เรื่องของศิลปะ ภาพวาด แต่รวมไปถึงทุกอย่างรอบตัว เช่น รถ การทำอาหาร หรือ เพลง ซึ่งผมชอบฟังเพลงหลายแนว ทั้งสากล ไทย คลาสสิก”
สำหรับเป้าหมายในอนาคต นอกจากการเติบโตในเชิงรายได้ กำไรของบริษัท สิ่งที่เขาให้ความสำคัญมากกว่าคือ คุณภาพชีวิตของการทำงานที่ดี ทำให้เขาอยากมาทำงานทุกวัน
“ผมไม่ได้คิดว่าต้องมีกี่บริษัท แค่เห็นคนรอบข้างมีชีวิตที่ดี แฮปปี้ ทีมตั้งใจทำงาน เลี้ยงตัวเองได้ ก็ภูมิใจแล้ว ส่วนตัวผมเองก็ไม่ได้คิดว่า อยากทำงานน้อยลง เพื่อมีเวลาพักผ่อนมากขึ้น เพราะผมมองว่าการทำงานสำหรับผม ก็เหมือนนักวิ่งมาราธอน ถ้าเราไปบอกให้เข้าหยุดวิ่งก็คงไม่ใช่ เพราะเขาอาจจะเอ็นจอยที่มีโอกาสได้วิ่งทุกวัน เหมือนกับผมที่ชินกับการทำงานและไลฟ์สไตล์แบบนี้ไปแล้ว” เพชร กล่าวทิ้งท้าย