ใครจะคิดว่าขนมชั้นบ้านๆ ที่เห็นดาษดื่น วันนี้จะถูกแปลงร่างให้หรูหราไม่พอ ยังอัปมูลค่าจนกลายเป็นขนมชั้นราคาเฉียดหมื่นได้ ด้วยการใส่ไอเดียสุดสร้างสรรค์ แต่งองค์ทรงเครื่องให้ขนมชั้นของไทยดูโมเดิร์น หน้าตาคล้ายเค้กโดมสไตล์ฝรั่งเศสไม่พอ ยังชูความวิจิตรอย่างไทย เพราะตกแต่งด้วยขนมอาลัวพวงมาลัย และอาลัวดอกไม้ จนใครเห็นต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า สวยจนไม่กล้ากิน!
ทั้งหมดนี้ ต้องยกนิ้วให้ไอเดียสุดบรรเจิดของ “โบว์-มนต์ริสสา ลีนุตพงษ์” เจ้าของร้านคนสวยแห่ง CAFÉ AT EASE (คาเฟ่ แอท อีส) ที่ยกระดับขนมไทยด้วยแนวคิด "Modern Thai Couture Desserts"
“ไม่เคยคิดมาก่อนเหมือนกันค่ะว่าวันหนึ่งจะมีโอกาสมาทำขนมชั้นสุดอลังการแบบนี้ จะเรียกว่าเป็นครั้งแรกของไทยมั้ย โบว์ก็ไม่แน่ใจนะ แต่โบว์ก็ไม่เคยเห็นที่ไหน หรือใครทำมาก่อน แม้แต่ลูกค้าที่มาสั่งเอง เขาเคยชิมขนมไทยของโบว์ ซึ่งเราทำขายเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วติดใจ เลยมาสั่งทำพิเศษแบบเป็นเค้กก้อนใหญ่ 3 ชั้น ซึ่งเขาก็ไม่รู้หรอกว่า หน้าตาจะออกมาเป็นอย่างไร อารมณ์เหมือนเขาจ่ายเงินเพื่อซื้อจินตนาการโบว์ (หัวเราะ) โบว์ก็จัดเต็มใส่ไอเดียเข้าไปเต็มที่ จนออกมาเป็นอย่างที่เห็น ซึ่งโบว์ตั้งราคาไว้ที่ก้อนละ 9,500 บาท แต่เพราะเป็นลูกค้าเก่าที่มาสั่งให้ทำ 2 ก้อน เพื่อนำไปมอบให้คนพิเศษ เลยลดราคาให้เหลือก้อนละ 8,700 บาท”
ใครจะคิดว่าตอนที่เริ่มทำ โบว์ก็ถ่ายคลิปเก็บไว้ ซึ่งเป็นการถ่ายแบบเรียลมาก ไม่ได้ใช้เทคนิคการตัดต่อขั้นเทพอะไร ปรากฏพอไปโพสต์ในยูทูปชาแนลของโบว์ ที่ชื่อว่า Monrissa's Sketchbook ปรากฏลงไปวันเดียว ยอดคนดู 7,000 กว่าวิว ทั้งที่ช่องของโบว์ไม่ได้มีผู้ติดตามมากมาย “ก็เซอร์ไพรส์เหมือนกันนะ ไม่คิดว่าคนจะสนใจ แถมยอดวิวก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ”
ถามว่าทำไมขนมชั้นของโบว์ ถึงตั้งราคาที่หลายคนฟังแล้วแทบไม่เชื่อหู งานนี้โบว์เฉลยว่า “ไม่อยากให้มองว่านี่คือขนมชั้น แต่มันคืองานคราฟต์ที่เราใส่ไอเดีย นำศิลปะมาต่อยอดความเป็นไทย เปลี่ยนภาพขนมไทยที่หลายคนอาจจะยังติดภาพว่าเชย ไม่สวย ด้วยการสร้างความแตกต่าง ทำให้ขนมไทยมีความร่วมสมัย ไม่แพ้ขนมของชาติอื่น”
อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนอาจสงสัยว่า ทำไมจู่ๆ โบว์ ซึ่งคลุกคลีกับการทำขนมฝรั่งมาทั้งชีวิต ถึงหันมาสนใจขนมไทยได้ โบว์เล่าว่า เหตุเกิดจากเมื่อ 3 ปีก่อน เพื่อนชวนไปเทกคอร์สเรียนทำขนมไทยที่โรงเรียนสอนทำขนมไทยบุษบาบัณ โดยหลักสูตรที่เรียนเป็นแบบคอร์สสั้นๆ วันเดียวจบ
“ตอนที่ตัดสินใจไปเรียน โบว์ไม่ได้คิดอะไรมาก คิดแค่ว่าถ้าทำได้ก็อาจจะนำมาต่อยอดคาเฟ่ที่ทำอยู่ให้เป็นคาเฟ่ขนมไทย ซึ่งกลุ่มเป้าหมายหลักคือนักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่แล้ว แต่ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เพราะด้วยความที่เราหลงใหลเกี่ยวกับพวกดอกไม้ตั้งแต่สมัยเป็นดีไซเนอร์ พอไปเรียนทำอาลัวดอกบัว อาลัวดอกไม้ และพวงมาลัยขนมชั้น ก็เลยยิ่งอินแถมทำได้ดี ถึงจะเรียนแค่วันเดียว แต่พอกลับมาลองทำที่บ้านก็ทำได้ ที่สำคัญ เรายังมีไอเดียที่อยากต่อยอดว่า น่าจะลองผสมสีสันใหม่ๆ หรือลองทำพิมพ์แบบใหม่ๆ เพื่อให้ขนมที่ออกมาสวยขึ้น”
จากตรงนั้นเลยเป็นจุดเริ่มต้นของการต่อยอดคาเฟ่ขนมไทย ที่ไม่ใช่แค่รสชาติหอมหวาน รูปลักษณ์ยังสวยงามไม่ต่างกับงานศิลปะ
“เชื่อมั้ยว่า ปีโควิดที่ผ่านมาถึงคาเฟ่จะปิด นักท่องเที่ยวไม่มา แต่กลายเป็นปีที่โบว์มียอดขายถล่มทลาย โดยเฉพาะช่วงเทศกาล อย่างวันสงกรานต์ วันแม่ มีออเดอร์เข้ามาเยอะมาก เพราะคนมองหาของขวัญสำหรับผู้ใหญ่ ลูกค้าหลักของโบว์กลายเป็นลูกค้าคนไทย ที่สำคัญถึงขนมเราราคาอาจจะสูงกว่าราคาขนมไทยที่เห็นทั่วไป แต่ก็ติดตลาดได้ไม่ยาก เพราะไปโดนใจลูกค้าที่ชอบเรื่องความสวยงาม ชอบงานที่มีความละเอียด ที่ดีใจคือเราเองก็สนุกกับงานตรงนี้ มีความสุขกับการได้พัฒนาขนมไทยของเราไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นแบบพวงมาลัย รสชาติ หรือแม้แต่สีที่นำมาใช้ โบว์ภูมิใจมากที่ตอนนี้สามารถเปลี่ยนมาใช้สีธรรมชาติ อย่างสีจากเผือก มันม่วง อัญชัน ใบเตย หรือแม้แต่แก้วมังกร ซึ่งยังให้ความสวยงามไม่ต่างจากสีผสมอาหาร”
โบว์ยังบอกด้วยว่า นับตั้งแต่เข้าสู่วงการขนมไทย แทบไม่เคยได้รับฟีดแบ็กที่ไม่ดีจากลูกค้าเลย โดยช่องทางหลักที่ใช้สื่อสารกับลูกค้าคือ อินสตาแกรม ซึ่งเธอจะคอยอัปเดตภาพผลงานขนมที่ทำขายจริงตลอด เห็นในภาพแบบไหนสั่งไปก็ได้แบบนั้น ลูกค้าส่วนใหญ่ถ้าไม่ออเดอร์ตามแบบที่เห็น ก็จะออเดอร์ให้เทเลอร์เมดตามที่ต้องการ เช่น เปลี่ยนรสชาติ เปลี่ยนแบบ หรือแม้แต่ออเดอร์ให้ทำเป็นสูตรที่แบบหวานน้อย โบว์ก็พยายามศึกษาและทำออกมาให้ตอบโจทย์ลูกค้ามากที่สุด
“กำลังใจสำคัญของโบว์ คือ รีวิวจากลูกค้าที่ชื่นชอบขนมของเรา ชอบไอเดียของเราที่ไม่เหมือนใคร จะมีเซ็งๆ บ้างก็เวลาถูกก็อปปี้ไอเดีย (หัวเราะ) ทุกวันนี้โบว์ทำขนมไทยด้วยความสุข ทำเพราะชอบมากกว่าเพื่อเงิน ถามว่าทำขนมไทยยากกว่าขนมฝรั่งมั้ย โบว์ว่ายากนะ เพราะขนมไทยไม่เหมือนสเต็ก ที่ทำเสร็จแล้วอยากให้ชิมความหอม ความนุ่มทันที อายุขนมอาจจะสั้นกว่าขนมฝรั่ง เก็บได้ไม่เกิน 2 วัน ซึ่งด้วยความที่เราทำขนมฝรั่งมาก่อน เราก็จะพยายามผสมผสาน อย่างทำขนมชั้นรสมัทฉะ มันม่วง บัวหิมะไส้สตรอว์เบอร์รี สัมปันนีสอดไส้ช็อกโกแลตจากเบลเยียม จากนั้นค่อยมาเติมความสวยงามเข้าไป จนตอนนี้โบว์มีสโลแกนประจำตัวคือ “ขนมไทยต้องสวยจนกินไม่ได้ แต่พอกินแล้วหยุดไม่ได้”
ทั้งนี้ โบว์ยังบอกด้วยว่า อยากเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ภาพจำขนมไทยจากนี้มีมูลค่าไม่แพ้ขนมฝรั่ง สามารถเป็นขนมที่เป็นหน้าเป็นตาของประเทศ ใช้ต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง สะท้อนเอกลักษณ์ความเป็นไทยได้ เพื่อให้คนทั้งโลกรู้ว่าขนมไทยก็มีดีไม่แพ้ชาติใดในโลก
และแน่นอนว่าใกล้ช่วงเทศกาลแห่งความรักแบบนี้ โบว์ถือโอกาสทิ้งท้ายถึงคู่รักที่กำลังมองหาของขวัญเก๋ๆ ว่า “เมื่อปีที่แล้ว โบว์นำเสนอเป็นขนมชั้นรูปหัวใจ สไตล์หวานๆ แต่ปีนี้โบว์จะสะท้อนเรื่องราวความรักผ่านขนมไทยในสไตล์หวานอมเปรี้ยว เพิ่มความเซ็กซี่และมีเสน่ห์เข้าไป ส่วนหน้าตาจะเป็นอย่างไร ขอให้รอติดตามทางอินสตาแกรมแล้วกันนะคะ”