ที่หลายๆ คนเรียกเกาหลีใต้ว่า “ประเทศซัมซุง” ก็อาจจะไม่ผิด เพราะว่าซัมซุงเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่สุดในเกาหลีใต้ ที่ครอบคลุมธุรกิจส่วนใหญ่ของประเทศ
แม้ว่าเมื่อเทียบกับบริษัทใหญ่ๆ อื่นๆ ในโลกแล้วอาจจะยังห่างชั้น ทว่า ด้วยระบบบริษัทแบบ “แชโบล” ของเกาหลีใต้ การเสียชีวิตของ ลีกุนฮี ประธานของบริษัท “แชโบล” ที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลีใต้ย่อมส่งผลสั่นสะเทือนเศรษฐกิจอย่างที่บริษัทใหญ่ๆ ในประเทศอื่นๆ ก็ไม่อาจส่งอิทธิพลต่อประเทศของตัวเองได้ขนาดนี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อ ลีกุนฮี ได้เปลี่ยนรูปแบบการบริหารแบบสั่งการจากคนคนเดียวในสไตล์เก่า มาให้ลูก 3 คนแยกกันบริหาร
“แชโบล” คือ กลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ที่ทรงอิทธิพลทางการค้าและการลงทุนในประเทศเกาหลีใต้ เกิดขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยเศรษฐกิจของเกาหลีใต้เติบโตอย่างก้าวกระโดดเพราะบรรดาบริษัทขนาดใหญ่เหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นซัมซุง ฮุนได ลอตเต้ เอสเค กรุ๊ป และแอลจี
สำหรับบริษัท ซัมซุง กรุ๊ป ที่ก่อตั้งขึ้นมาโดย ลีบยุงชุล บิดาของลีกุนฮี ก่อนที่ท่านประธานผู้เพิ่งล่วงลับจะปลุกปั้นจนกลายเป็นบริษัทระดับโลก ด้วยการบุกเบิกกิจการด้านเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน ไปจนกลายเป็นผู้ผลิตชิปเก็บหน่วยความจำ และผู้ผลิตจอแอลซีดี และแอลอีดีที่ใหญ่ที่สุดในโลก
นอกจากซัมซุงอีเล็กโทรนิกส์แล้ว ซัมซุงกรุ๊ปยังมี ซัมซุง ซี แอนด์ ที ธุรกิจด้านการวางรากฐานและการก่อสร้าง รวมทั้งอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นเจ้าของผลงานดังๆ ในโลก อย่างตึกแฝดที่มาเลเซีย อาคาร 101 ในไต้หวัน รวมทั้งอาคารคาลิฟาในดูไบ แล้วยังมีโรงแรม รีสอร์ต สินค้าแฟชั่น และร้านค้าปลอดภาษี
อีกธุรกิจที่สำคัญของซัมซุงกรุ๊ป ก็คือ ธุรกิจประกันภัย ซัมซุง ไลฟ์ อินชัวรันซ์ ที่สร้างรายได้ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
จากเดิม ลีกุนฮี บริหารงานแบบรวมศูนย์ผ่านคนคนเดียว จนเมื่อลูกเติบโตขึ้นเขาก็เชื่อในพลังของคนรุ่นใหม่ มอบหมายให้รองประธาน อย่าง ลีแจยอง ซึ่งเป็นลูกชายคนเดียว ดูแลซัมซุง อีเล็กโทรนิกส์
ขณะที่ปกติ บริษัท “แชโบล” มักจะสืบทอดกันเฉพาะในหมู่ลูกชายเท่านั้น แต่ ลีกุนฮี ก็ให้ความสำคัญกับลูกสาวทั้ง 2 คน โดยเฉพาะ ลีบูจิน ที่ว่ากันว่าฉลาดที่สุดในบรรดาลูกทั้ง 3 คน ที่พ่อยก ซัมซุง ซี แอนด์ ที ให้บริหาร ซึ่งรวมบริษัทก่อสร้าง การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ กลุ่มธุรกิจโรงแรม รีสอร์ต และการประกันภัย ส่วน ลีเซียวฮยุน ลูกสาวอีกคนที่เคยช่วยบริหารซี แอนด์ ที สายธุรกิจแฟชั่น ย้ายไปบริหารในองค์กรการกุศล
จริงๆ แล้ว ช่วงรอยต่อระหว่างรุ่น ลีบยุงชุล มาสู่รุ่น ลีกุนฮี ซัมซุงก็เคยแยกเป็น 4 กลุ่มบริษัทมาแล้ว ทั้งกลุ่มบริษัทค้าปลีก กลุ่มสื่อสารและบันเทิง กลุ่มผลิตกระดาษ และกลุ่มขนส่งกับเคมีภัณฑ์ แต่ซัมซุงก็กลับมาเป็น “แชโบล” ที่ใหญ่ที่สุดอีกครั้ง ด้วยการตัดสินใจลงทุนในซัมซุง อีเล็กโทรนิกส์ โดยเริ่มต้นจากไมโครเวฟและโทรทัศน์ขาว-ดำ ก่อนจะรอดวิกฤตเศรษฐกิจช่วงปี 1997 มาได้ด้วยการขายบริษัทผลิตรถยนต์ และบริษัทเคมีภัณฑ์ออกไปแบบยอมขาดทุน
แม้สถานการณ์จะคล้ายกันในช่วงเปลี่ยนผ่าน แต่ปัญหาของทายาทรุ่นที่ 3 ก็มีอยู่เยอะมาก
ขณะนี้ ลีแจยอง กำลังถูกดำเนินคดีเพราะไปมีส่วนพัวพันในการทุจริตคอร์รัปชันของอดีตประธานาธิบดีหญิง พัคกึน-ฮเย และมีสิทธิ์ถูกจำคุกหากศาลตัดสินว่าผิดจริง โดยในเกาหลีใต้มีกระแสต่อต้านผู้บริหารที่ไร้จริยธรรมอย่างรุนแรง เรียกว่า หาก ลีแจยอง ไม่เป็นที่ยอมรับอีกต่อไปของสื่อและสังคม เขาอาจจะต้องส่งไม้ต่อให้รุ่นที่ 4 ไปเลยก็ได้
ที่สั่นสะเทือนเศรษฐกิจส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของสัดส่วนภาษี ที่สมัยเป็นบริษัท “แชโบล” ขนาดใหญ่ ต้องจ่ายปีละหลายแสนล้านวอน การมีมูลนิธิซัมซุง เวลแฟร์ ขึ้นมา สามารถช่วยเรียกคืนภาษีได้บ้าง แต่ไม่สู้การตัดแต่งแบ่งองค์กรให้ลดขนาดลงมา
นอกจากนี้ ความต้องการเป็นเอกเทศแบบสุดโต่งของสองพี่น้องฝ่ายหญิงที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ โดย ลีบูจิน ต้องการให้โรงแรมชิลล่า กับธุรกิจร้านค้าปลอดภาษีของเธอ หลุดออกมาจากร่มเงาของซัมซุงกรุ๊ปโดยสิ้นเชิง เช่นเดียวกับ ลีเซียวฮยุน ที่ต้องการบริหารมูลนิธิฯ แบบอิสระ
การจัดการให้ซัมซุงกรุ๊ป “แชโบล” ขนาดใหญ่ที่สุดในเกาหลีแยกย่อยเป็นบริษัทที่มีเอกเทศต่อกัน จะยิ่งเห็นชัดเจนมากขึ้นหลังการจากไปของ ลีกุนฮี